xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights : เมื่อจีนปราบหนักแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนในอาเซียนกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ตำรวจจีนนำตัวแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนเทาจากพม่า เดินทางกลับประเทศ -- ภาพจากสถานทูตจีนประจำพม่า
โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล


ในบทความนี้ผู้เขียนอยากจะมาบอกเล่าสู่กันฟังถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนที่ไปตั้งฐานบัญชาการหลักในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนไปทั่วโลก ไทยเราเองได้รับผลกระทบหรือแม้แต่ “ประชาชนคนในประเทศจีน” ก็ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนกันถ้วนหน้า

ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ข่าวจีนในประเด็น “การถูกหลอกไปทำงานที่พม่า” กลายเป็นประเด็นฮอตทั้งในสื่อของรัฐบาลเองและสื่อโซเชียล มีการรายงานข่าวในสื่อของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับการตามจับกุมกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนในพม่า ในสื่อรัฐบาลจีนได้มีการวิเคราะห์ว่า “กลุ่มแก๊งพวกนี้หนีออกจากจีนแผ่นดินใหญ่เพราะมีการจับกุมอย่างหนักก่อนหน้า ปัจจุบันไปกระจุกตั้งฐานบัญชาการกันอยู่บริเวณเมืองทางตอนเหนือและทางตะวันออกติดชายแดนไทยของพม่า เพราะเป็นพื้นที่ที่มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่มาก และแต่ละพื้นที่จะมีชนกลุ่มน้อยที่มีอิทธิพลมากเป็นมาเฟียในพื้นที่ ยากแก่รัฐบาลพม่าจะเข้าไปบริหารแทรกแซง และยังมีบางพื้นที่เจ้าหน้าที่รัฐมีเอี่ยวผลประโยชน์กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย” เพราะเหตุนี้ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนไปตั้งฐานบัญชาการที่พม่ากันเป็นล่ำเป็นสันและฐานบัญชาการแต่ละที่ก็สร้างเป็นเมืองปิดของตัวเองขนาดย่อมๆ มีการควบคุมคนที่ทำงานอยู่ในนั้นอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันคนหนีออก มีตัวเลขการประเมินหนึ่งที่น่าตกใจว่า “ฐานบัญชาการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนในพม่ามีมากกว่า 1,000 แห่ง”!

ตามข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงของจีนเมื่อเดือน มี.ค.ปีที่แล้ว พบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 68.5% กระจุกตัวอยู่บริเวณพื้นที่ทางตอนเหนือของพม่า จากสถิติของตำรวจไทยพบว่าในแต่ละปีมีชาวจีนประมาณ 70,000 คนถูกค้ามนุษย์จากประเทศไทยไปพม่า ซึ่งเทียบเท่าในแต่ละวันมีคนจีนเกือบ 200 คนที่ถูกแก๊งค้ามนุษย์หลอกและถูกขายออกไป ซึ่งตัวเลขจริงอาจมีจำนวนที่มากกว่านี้ และจากสถิติที่เผยแพร่นี้จีนมองว่า “ไทยเป็นแหล่งหลอกลวงและเป็นจุดผ่านแดนของกลุ่มค้ามนุษย์”!

สำหรับประเทศไทย ผู้เขียนมองว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวลในด้านความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของชาวต่างชาติในประเทศไทย

นายหลี่ ผู้กระทำความผิดและขอมอบตัวต่อทางการจีน เปิดเผยถึงการทำงานผิดกฎหมายที่พม่า กล่าวว่า “เป็นการหลอกลวงและเป็นประสบการณ์ที่ทั้งชีวิตนี้ไม่มีวันลืม อยากจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองหลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาส” ภาพจาก Wangyi Blog
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวดังมากในจีนกล่าวถึง “นักศึกษาจบปริญญาเอกสถาบันวิทยาศาสตร์ถูกล่อลวงไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พม่า” ในเนื้อหาโดยสรุปได้ว่า นายจาง นักศึกษาจบปริญญาเอกถูกชักชวนไปทำงานเป็นล่ามภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ เสนอให้เงินเดือนสูง (เงินเดือนพื้นฐาน 75,000 บาท) เพราะค่าตอบแทนดีนายจางเลยตัดสินใจทำ วันที่ 12 ส.ค.ปีที่แล้ว นายจางเดินทางออกจากจีนลงเครื่องที่กรุงเทพฯ หลังจากนั้นถูกพาไปที่แม่สอด ข้ามแม่น้ำไปพม่า ใน 2 วันต่อมาคือวันที่ 14 ส.ค. นายจางถูกกักกันและบังคับให้รับผิดชอบทำงานในส่วนการโทร.ข้ามแดนหลอกลวงชาวต่างชาติโซนประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ โดยบังคับให้เซ็นสัญญาทำงานและไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตามหากขัดขืนไม่ทำตามคำสั่งจะถูกเอาไปรุมซ้อม ระหว่างที่อยู่ในนั้นนายจาง พยายามหาโอกาสติดต่อกับที่บ้านเพื่อบอกว่าตัวเองปลอดภัยดีและให้หาทางช่วยเหลือออกมา สุดท้ายนายจาง แจ้งกับที่บ้านว่าต้องการเงินประกันตัว 1.2 แสนหยวน (ประมาณ 6 แสนบาท) ถึงจะถูกปล่อยตัวออกไป สุดท้ายแล้วทางครอบครัว และนายจางได้รับความช่วยเหลือเพราะข่าวของเขาดังมากในจีนและประชาชนจีนจำนวนมากให้ความสนใจ โดยข่าวล่าสุดรายงานว่าเขาจะได้กลับจีนบ้านเกิดเร็วๆ นี้

มีอาสาสมัครชาวจีนชื่อว่า อาเหว่ย เป็นผู้ที่คอยให้การช่วยเหลือคนจีนที่ถูกหลอกให้ออกมาจากเขตพื้นที่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้ข้อมูลกับทางสื่อจีนว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนทั้งหลายได้แบ่งขอบเขตธุรกิจของตน บางแห่งกำหนดเป้าหมายเหยื่อในจีนแผ่นดินใหญ่ บางแห่งกำหนดกลุ่มเป้าหมายเหยื่อในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางแห่งกำหนดเป้าหมายไปประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ และกว่า 90% ของคนที่ถูกหลอกไม่ได้รู้ตัวว่าต้องเดินทางมาพม่า บางคนก็รู้ว่าต้องไปทำงานอะไรและกล้าเสี่ยงเพื่ออยากจะได้เงินก้อนใหญ่  นอกจากนี้ ยังมีบางคนถูกหลอกที่คิดว่าจะไปทำงานในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มาถึงแล้วจะถูกบังคับและขายต่อให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์”

ในด้านการบริหารคนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนคือ “จะบังคับคนให้ทำงานตามคำสั่ง คนที่ทำผลงานไม่ดีจะถูกทุบตีไปตลอด ยังมีคนจีนบางคนที่หัวหมอจำยอมมาทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์เองพอตัวเองมีรายได้มากเพียงพอก็จะแกล้งโกหกว่าตัวเองเป็นเหยื่อ เพื่อให้ทางการจีนช่วยพากลับประเทศ ตรงนี้ก็เป็นงานที่ท้าทายของหน่วยความมั่นคงจีนอย่างมากที่ต้องคัดกรองคนให้ดี”

ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมจากคนจีนในพม่าว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อัปเกรดวิธีการทำงานและปฏิบัติการแบบใหม่ที่เรียกว่า “电诈 2.0” อ่านว่า เตี้ยนจ้า 2.0 หมายความว่า การหลอกลวงทางไซเบอร์เวอร์ชัน 2.0  คือใช้วิธีการหลอกล่อคนจีนแผ่นดินใหญ่มาทำงานโดยให้เงินเดือนที่สูง เมื่อมาถึงแล้วจะกักขังเอาไว้ทันทีและเรียกค่าไถ่กับครอบครัวที่จีน และขณะนี้นักศึกษาจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ เพราะว่าใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน การรับรู้ข่าวสารไม่เหมือนกับอยู่ในจีน ดังนั้นการหลอกลวงล่อเหยื่อจะง่ายกว่า”


เพราะแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเดือดร้อนให้จีนและประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดการร่วมมือขึ้นระหว่าง 4 ฝ่ายคือ กรมความมั่นคงแห่งชาติจีน กองบัญชาการตำรวจไทย กองบัญชาการตำรวจพม่า และกรมความมั่นคงแห่งชาติลาว ที่มีการจัดการประชุมล่าสุดไปเมื่อวันที่ 15-16 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยทั้ง 4 หน่วยงานจาก 4 ประเทศได้มีการจัดประชุมความร่วมมือพิเศษกันที่เชียงใหม่ และที่เชียงใหม่นี้ยังตั้งเป็น “ศูนย์ประสานงานครบวงจร” เป็นจุดบัญชาการหลักในการต่อต้านกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติทั้งหลายในพื้นที่ พันธกิจของศูนย์เพื่อปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ของทั้ง 4 ประเทศ มีดังต่อไปนี้

- จัดตั้งศูนย์ประสานงานครบวงจรที่จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย และตั้งจุดดำเนินการร่วมกันในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการกระทำผิดกฎหมายกันแพร่หลาย

- ความร่วมมือ 4 ประเทศเป็นการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติทั้งห่วงโซ่ ที่เกี่ยวกับการฉ้อโกง การพนัน และอาชญากรรมทางไซเบอร์

- การสร้างฉันทมติและเพิ่มความมั่นคงในภูมิภาค ให้ประชาชนในพื้นที่ตระหนักถึงอันตรายของอาชญากรรมข้ามชาติ รู้ทันและป้องกัน มีความร่วมมือในด้านความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม

การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเข้มข้นของรัฐบาลจีน ทำให้มีข่าวตำรวจพม่าตามจับกุม และทยอยส่งตัวผู้ร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศเพื่อรับโทษมีให้เห็นในหน้าข่าวจีนเกือบทุกวัน อีกทั้งกระบวนการที่คนจีนถูกหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ถูกเปิดเผยในหน้าสื่อจีนจำนวนมาก คือคนส่วนใหญ่ที่ถูกหลอกล่อออกมาทำงาน จะถูกแจ้งให้เดินทางมาที่ไทยก่อนแต่สุดท้ายแล้วถูกบังคับจับไปขาย (ส่วนใหญ่ถูกขายต่อไปพม่า) ดังนั้นในมุมของคนจีนที่ติดตามข่าวสารจะมองว่าประเทศไทยไม่ค่อยมีความปลอดภัยนัก

ประเด็นนี้เห็นได้ชัดจากในไตรมาสที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยโดยรวมไม่เป็นไปตามเป้า ที่เชียงใหม่รายงานว่านักท่องเที่ยวจีนน้อยลงกว่า 70% ผู้เขียนมองว่าเรื่องการขอวีซ่าเที่ยวไทยก่อนหน้าที่ใช้เวลานานกระบวนการเยอะก็ส่วนหนึ่ง เศรษฐกิจจีนซบเซาคนประหยัดขึ้นไม่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหลักเลยน่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัยของการท่องเที่ยวในไทยที่ชาวจีนปัจจุบันมีความกังวลอยู่มาก ไม่ใช่แค่ในสื่อทางการจีนที่มีการเล่นข่าวอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจำนวนมากในอาเซียน ตามโซเชียลมีเดียจีนเองมีการพูดถึงความปลอดภัยของการมาท่องเที่ยวไทยอยู่มาก ดังนั้นในมุมของการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย การคืนความมั่นใจด้านความปลอดภัยต่อชาวจีนเป็นงานหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง การที่จีนปราบปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างหนักอาจจะทำให้ความปลอดภัยและความมั่นคงของภูมิภาคกลับมาดีขึ้นในอนาคต แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งเพราะการทลายแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติไม่ใช่เรื่องที่ง่าย


กำลังโหลดความคิดเห็น