ผู้กำหนดนโยบายสูงสุดของจีนชี้ความต้องการใช้จ่ายในประเทศมีไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุหลักของปัญหาท้าทายทางเศรษฐกิจที่แดนมังกรกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นประธานการประชุมของกรมการเมืองคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ (โปลิตบูโร) ซึ่งเป็นคณะผู้กำหนดนโยบายสูงสุดของประเทศเมื่อวันจันทร์ (24 ก.ค) เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และจัดลำดับความสำคัญของงานด้านเศรษฐกิจ ที่จีนต้องดำเนินการในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจจีนขณะนี้เผชิญกับปัญหาท้าทายใหม่ๆ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากอุปสงค์ในประเทศที่มีไม่เพียงพอ กล่าวคือ ผู้บริโภคในจีนมีความต้องการใช้จ่ายกันไม่มากเท่าที่ควร และจากอุปสรรคความยากลำบากในการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการ ตลอดจนจากความเสี่ยงและอัตรายที่ซ่อนอยู่ในภาคธุรกิจสำคัญ เช่น ภาคอสังหาฯ รวมทั้งจากปัจจัยภายนอกประเทศที่อยู่ในภาวะซับซ้อนและหนักหนาสาหัส อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจจีนยังมีปัจจัยพื้นฐานที่มีศักยภาพและเป็นบวกในระยะยาวอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ที่ประชุมเน้นย้ำความจำเป็นในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านรถยนต์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องตกแต่งบ้าน และบริการต่างๆ เช่น กีฬา การพักผ่อนหย่อนใจ และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยให้การบริโภคมีบทบาทเต็มที่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อีกทั้งต้องยึดมั่นนโยบายการคลังเชิงรุก นโยบายการเงินที่รอบคอบ มีการลดภาษีและค่าธรรมเนียม ตลอดจนนำเครื่องมือทางการเงินในเชิงปริมาณและโครงสร้างมาใช้อย่างเต็มที่ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนนั้นควรรักษาเสถียรภาพในระดับที่สมดุล ที่ประชุมยังให้คำมั่นส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระตุ้นตลาดทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตลอดจนให้การสนับสนุนเต็มที่สำหรับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การประชุมโปลิตบูโรครั้งนี้จัดขึ้นหลังจากจีนรายงานเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เศรษฐกิจจีนช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โตเพียง 5.5% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ แต่โตกว่าชาติเศรษฐกิจรายใหญ่อีกหลายราย
นายหวัง เผิง นักวิจัยประจำสถาบันบัณฑิตสังคมศาสตร์ปักกิ่ง มองการประชุมครั้งนี้ว่า เป็นการประเมินภาวะเศรษฐกิจจีนปัจจุบันในเชิงบวก หลังจากจีนยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ และมีการเปิดประเทศอย่างราบรื่น แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังลุ่มๆ ดอนๆ
ขณะที่นักวิเคราะห์อีกหลายคนมั่นใจว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนยังมีมาตรการเชิงนโยบายอีกมากมายในการจัดการปัญหาความเสี่ยงและรับประกันว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับที่ 2 ในโลกจะยังคงเป็นหัวรถจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกต่อไปอย่างแน่นอน
ที่มา : โกลบอลไทมส์
