ผลสำรวจล่าสุดชี้คนรุ่นอายุ 18-24 ปีในชาติอาหรับมองจีนเป็นพันธมิตรมากกว่าสหรัฐฯ
จากผลสำรวจ “อาหรับ ยูท เซอร์เวย์” (Arab Youth Survey) ประจำปี 2566 โดยแอสดา’ เอ บีซีดับเบิ้ลยู (ASDA’A BCW) บริษัทด้านการประชาสัมพันธ์ในดูไบ อันดับประเทศที่คนอาหรับรุ่นใหม่มองว่าเป็นพันธมิตรมากที่สุดนั้น จีนติดอันดับที่ 2 โดยผู้ตอบแบบสำรวจที่เห็นด้วยมีร้อยละ 80 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 78 ในปีที่แล้ว ส่วนสหรัฐฯ อยู่ที่อันดับ 7 ร้อยละ 72 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63
ความนิยมชมชื่นจีนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หากเปรียบเทียบกับผลสำรวจฉบับปี 2561 ซึ่ง 5 อันดับแรกเป็นชาติอาหรับทั้งหมด ยกเว้นอันดับที่ 4 ซึ่งเป็นของรัสเซีย ขณะที่สหรัฐฯ เคยติดอันดับที่ 2 ในการสำรวจเมื่อปี 2558
ทั้งนี้ ผลสำรวจล่าสุดเป็นการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวชาวอาหรับวัยดังกล่าวจำนวน 3,600 คน ใน 53 เมืองจาก 18 ชาติในภูมิภาคตะวันออกกลาง ภูมิภาคแอฟริกาเหนือและลิแวนต์ สะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิด ซึ่งพัฒนาไปตามภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงในภูมิภาค โดยความชื่นชอบจีนเพิ่มขึ้นตามลำดับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลปักกิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับตะวันออกกลางมากขึ้นในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการสร้างสันติภาพ
ในขณะที่สหรัฐฯ ถึงแม้ยังคงได้รับความนิยม แต่ถูกชาติอื่นๆ แซงหน้า โดยตุรกีเบียดขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1 ชาติที่คนอาหรับรุ่นใหม่เห็นว่าเป็นพันธมิตรมากที่สุดที่ร้อยละ 82 นอกจากนั้น ผลสำรวจยังบ่งชี้ว่า ชาวอาหรับต้องการให้สหรัฐฯ ลดบทบาทในตะวันออกกลาง แต่หลายคนยังเชื่อว่า ชาติมหาอำนาจรายนี้จะยังคงเป็นผู้เล่นที่มีอิทธิพลมากที่สุด
บรรดานักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุที่ความนิยมสหรัฐฯ ลดลงอาจเนื่องมาจากชาติอาหรับโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติแถบอ่าวเปอร์เซียรู้สึกหงุดหงิดผิดหวังที่เห็นสหรัฐฯ ให้ความสนใจตะวันออกกลางน้อยลงและกำลังย้ายยุทธศาสตร์ไปจากที่นี่ ชาติอาหรับจึงเริ่มกำหนดนโยบายของตนเอง ชาติเหล่านี้ปฏิเสธการเลือกข้างกรณีสงครามในยูเครน และหันไปกระชับความสัมพันธ์กับจีนมากขึ้น เป็นการตอกย้ำว่า โลกกำลังเปลี่ยนไปสู่การมีขั้วอำนาจหลายขั้ว
อย่างไรก็ตาม แอนนา จาคอบส์ นักวิเคราะห์อาวุโสของอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป (International Crisis Group) สถาบันคลังสมองของสหรัฐฯ เตือนว่า เรื่องที่มองกันว่าบทบาทของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางจะลดลงนั้น ต้องฟังหูไว้หู เพราะซอฟต์เพาเวอร์ของสหรัฐฯ และบทบาทในฐานะผู้ค้ำประกันความมั่นคงในตะวันออกกลาง ยังไม่มีชาติมหาอำนาจอื่นใด เช่น จีน หรือรัสเซียจะมาแทนที่ได้นั่นเอง
ที่มา : ซีเอ็นเอ็น