เครื่องบินทิ้งระเบิด “เอช-6 เค” บินปฏิบัติการโอบล้อมเกาะไต้หวันในตอนกลางคืน ความเคลื่อนไหวของเขี้ยวเล็บคมกริบแห่งทัพฟ้าพญามังกรนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญมองว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำ เพื่อส่งเสียงเตือนไปยังใครก็ตามที่กระเหี้ยนกระหือรือแบ่งแยกดินแดนไต้หวันจากจีน
จากรายงานของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (ซีซีทีวี) เมื่อวันจันทร์ (19 มิ.ย.) นับตั้งแต่ขึ้นประจำการในกองทัพปลดแอกประชาชนจีนเมื่อหลายปีก่อน ฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิด “เอช-6 เค” เป็นหน่วยบินแรกที่บินปฏิบัติการรอบเกาะไต้หวันในตอนกลางคืน
ครูฝึกผู้หนึ่งของฝูงบินพูดถึงสมรรถนะของ “เอช-6 เค” ว่า สามารถบินปฏิบัติการได้ที่ไหนเมื่อไรก็ได้ ไม่ว่ากลางวันกลางคืน หรือก่อนฟ้าสาง
ผู้สันทัดกรณีระบุว่า ที่ผ่านมาสาธารณชนแทบไม่เคยมีโอกาสได้รับทราบเกี่ยวกับการบินรอบเกาะไต้หวันในยามวิกาลของเครื่องบินทิ้งระเบิด “เอช-6 เค” เลย ฝ่ายไต้หวันเองเคยสังเกตเห็นปฏิบัติการแบบนี้ของกองทัพจีนเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ค. ปี 2561 จากนั้นมีข้อมูลออกมาอย่างกระเส็นกระสาย
นายฟู่ เฉียนเซ่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินทางทหารของจีน และผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนคาดว่า ปฏิบัติการบินรอบเกาะไต้หวันในตอนกลางคืนจะกลายเป็นปฏิบัติการที่เกิดขึ้นเป็นกิจวัตร
นายฟู่ ระบุว่า การบินปฏิบัติการตอนกลางคืนนี้บ่งชี้ถึงขีดความสามารถในการบินที่เพิ่มขึ้นในทุกสภาพอากาศตลอด 24 ชม. การยั่วยุโดยผู้ปลุกปั่นให้ไต้หวันประกาศเอกราช และจากกองกำลังแทรกแซงภายนอกอาจเกิดขึ้นในตอนกลางคืน เขายกตัวอย่างกรณีเครื่องบินของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในขณะนั้น ดอดลงจอดไต้หวันในตอนค่ำของเดือน ส.ค. ปี 2565 ด้วยเหตุนี้เองกองทัพจีนจึงต้องมีความพร้อมในการลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลา
“เอช-6 เค” สร้างผลงานพิสูจน์ฝีมือมากมาย เช่น ปฏิบัติการบินเหนือน่านน้ำทางยุทธศาสตร์ในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ซึ่งเสี่ยงต่อการเฉี่ยวชนกับเครื่องบินต่างชาติ และการซ้อมรบในมหาสมุทรแปซิฟิกมากกว่า 100 ครั้ง ตลอดจนปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังทางบกและทางเรือ
มีรายงานว่า เครื่องบินทิ้งระเบิด “เอช-6 เค” สามารถติดตั้งขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์ และขีปนาวุธอีกหลายชนิด เช่น ขีปนาวุธ เคดี-20 โจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน ขีปนาวุธต่อต้านเรือความเร็วเหนือเสียง วายเจ-12 และขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกวายเจ-21
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การบินปฏิบัติการในตอนกลางคืนเป็นสิ่งท้าทายนักบินมากกว่าการบินในตอนกลางวัน แต่ขณะเดียวกันฝ่ายปรปักษ์จะถูกกดดันหนักหน่วงขึ้นให้ต้องเฝ้าระวังตัวแจอย่างแน่นอน
ที่มา : โกลบอลไทมส์
