โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
อุตสาหกรรมอัจฉริยะ หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า “智能产业” อ่านว่า จื้อเหนิงฉ่านเย่ เป็นคำที่ใช้เรียกภาคอุตสาหกรรมใหม่โดยรวม ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI) เทคโนโลยีบิ๊กดาต้า(Big data) เป็นต้น ในแผนการพัฒนาของจีนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับเรื่องของเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก โมเดลในจีนปัจจุบันคือการผลักดันให้เอกชนเติบโตก่อนแล้วรัฐช่วยส่งเสริม
มีข้อมูลจากเทียนเหยียนฉา(Tianyancha)แพลตฟอร์มจีนที่เก็บรวบรวมข้อมูลบริษัททั่วประเทศจีน แสดงว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI เกือบ 2.674 ล้านแห่ง ในจำนวนนี้มีบริษัทจดทะเบียนใหม่มากกว่า 170,000 แห่งในไตรมาสแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
จากมุมมองของการกระจายตัวของบริษัท แถบมณฑลกวางตุ้งมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI กระจุกตัวอยู่มากที่สุด โดยมีอยู่มากกว่า 4 แสนบริษัท มณฑลเจียงซู และมหานครปักกิ่งอยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 มีมากกว่า 224,000 บริษัท และมากกว่า 218,000 บริษัท ตามลำดับ และจากเวลาการก่อตั้งบริษัทพบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI ร้อยละ 53.6 จัดตั้งอยู่ในช่วง 1-5 ปีนี้ และร้อยละ 27.7 เพิ่งจะจัดตั้งภายใน 1 ปี อุตสาหกรรม AI ตั้งแต่เดือน ม.ค. ปีนี้มีการเพิ่มการลงทุนทั้งหมด 143 ครั้ง เป็นจํานวนเงินทุนเกิน 8 หมื่นล้านหยวนเลย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรม AI ในจีนได้เร่งการพัฒนา “ห่วงโซ่อุตสาหกรรม” จากการสนับสนุนเทคโนโลยีพื้นฐาน ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ กระตุ้นให้เกิดคลัสเตอร์อุตสาหกรรมขึ้น เมื่อปี 2021 สมาคมอินเทอร์เน็ตแห่งชาติจีนได้เผยแพร่รายงานการพัฒนาในด้าน AI ในประเทศ กล่าวว่าขนาดของอุตสาหกรรม AI ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2020 ขนาดอุตสาหกรรม AI ในประเทศมีมูลค่ามากกว่า 3 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบปี 2019 และปัจจุบันความเร็วของการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมอัจฉริยะของจีนเติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก
ดังนั้น AI ปัจจุบันกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันของผู้คนจีนและผู้คนทั่วโลกไปแล้ว ตั้งแต่สมาร์ทโฟน ไปจนถึงระบบนำทาง GPS ของรถยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ได้เปลี่ยนชีวิตคนจีนในประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นส่วนสําคัญของอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์จีน ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการตรวจจับสถานการณ์การจราจรและประมวลผล โดยเฉพาะช่วงที่มีการจราจรหนาแน่น ประชาชนออกเดินทางมากช่วงวันหยุดยาว โดยปัญญาประดิษฐ์จะช่วยหน่วยงานรัฐประมวลผล วิเคราะห์สถานการณ์และรายงานต่อประชาชน ในด้านของโลจิสติกส์ ปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีส่วนช่วยจัดการข้อมูลและประมวลผลการดำเนินงานต่างๆ ชี้จุดบกพร่องได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การทำงานของภาคโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพและเติบโตได้เร็ว
2.ภาคการผลิตจีนมีการใช้เครื่องจักรกลที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ควบคุมมากขึ้น การใช้เครื่องยนต์อัตโนมัติเพื่อเร่งกระบวนการผลิต ลดการผิดพลาด ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน บางโรงงานจีนกล่าวว่า “ปัจจุบันอุปกรณ์ปัญญาประดิษฐ์สามารถทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการมากขึ้นเรื่อยๆ ได้พยายามใช้เครื่องจักรอัจฉริยะมากขึ้นและกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง” หรืออาจจะเพราะเหตุนี้ด้วยหรือไม่ที่ทำให้กลุ่มวัยทำงานในจีนมีอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น!
3.การโต้ตอบกับปัญญาประดิษฐ์ส่วนบุคคล “AI Chat” (พูดคุยกับ AI) ในจีนมีหลายแอปพลิเคชัน คนจีนรุ่นใหม่ก็กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และใช้งาน ทำให้ข้อมูลที่ต้องการอยู่ใกล้แค่เอื้อม นักเรียนและนักวิจัย บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ดีขึ้นแต่ยังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลายนัก หรือแม้แต่เว็บไซต์และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งก็ออกแบบตามความชอบของผู้คน มีอัลกอริทึม AI ที่สามารถแสดงเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละคน
4.จีนกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ “Smart Government” หรือรัฐบาลอัจฉริยะบริการประชาชน ซึ่งยกระดับการจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การจัดการข้อมูลประชาชนที่มีอยู่กว่า 1,400 ล้านคนง่ายขึ้น ประชาชนรับบริการออนไลน์แบบครบวงจรลดปัญหาการเสียเวลาไปทำธุรกรรมที่สถานที่ราชการ
5.ปรับปรุงการระบบการดูแลสุขภาพและการรักษาทางการแพทย์ ปัจจุบัน AI สามารถช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคทางกายของมนุษย์ได้สำเร็จ และ AI สามารถช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคต่างๆ รวมถึงแนวทางรักษาได้ ตั้งแต่ช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรงในจีน การแพทย์ + 5G + AI ในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว
6.ระบบพยากรณ์อากาศอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี AI มีความแม่นยํากว่าในอดีต การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่เฉพาะ การคาดการณ์การมาถึงของพายุจะง่ายขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่มีเวลาเพียงพอในการอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างเร่งด่วนได้ทันท่วงที ทั้งนี้ การพยากรณ์ที่มี AI เข้ามาได้ช่วยภาคการเกษตรด้วย ทำให้เกษตรกรเข้าใจฝนและภัยแล้งที่จะเข้ามาได้อย่างแม่นยำ ปัจจุบันเทคโนโลยีทั้งบิ๊กดาต้าและ AI ได้ถูกนำมาใช้ในจีนแล้ว
7.AI จีนและบิ๊กดาต้ามีบทบาทสําคัญในด้านความปลอดภัยของข้อมูลในประเทศ เช่น การต่อสู้กับการหลอกลวงทางไซเบอร์และการตรวจจับเนื้อหาที่ก้าวร้าวและเนื้อหาที่ทางการจีนเห็นว่าไม่เหมาะสม เป็นต้น
ขนาดของอุตสาหกรรมอัจฉริยะของจีนในปี 2022 มีมูลค่า 5.08 แสนล้านหยวน ถือเป็นโอกาสใหม่แห่งการพัฒนา เพราะในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เคยเน้นย้ำว่า “AI เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศ การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในรอบใหม่ การเร่งพัฒนา AI เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ต้องวางแผนการพัฒนาให้ดี และเสริมสร้างรากฐานให้แน่น ส่งเสริมการบูรณาการกับเศรษฐกิจและสังคม”
ในด้านของการยื่นขอสิทธิบัตรด้าน AI ในปี 2022 จีนได้มีการยื่นขอมากที่สุดในโลก โดยมีจำนวนทั้งหมด 3.89 แสนรายการ คิดเป็น 53.4 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนสิทธิบัตรด้าน AI ที่ยื่นในโลก และในขณะนี้บนโลกมีบริษัทด้าน AI ที่แข่งแกร่ง 27,225 บริษัท ในจำนวนนี้มีบริษัทสัญชาติจีนอยู่ 4,227 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 16 เปอร์เซ็นต์
ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันสถานศึกษาในจีนทั้งประเทศมีมากกว่า 400 แห่งที่เปิดสาขาวิชาด้าน AI และในอนาคตจีนมีเป้าหมายจะเป็นประเทศที่บ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าจีนมีการวางแผนการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเป็นระบบ และปัจจุบันบริษัทด้านเทคโนโลยีและ AI ที่โดดเด่นของจีนอย่าง ไป๋ตู้ (Baidu) อะลีบาบา (Alibaba) หัวเว่ย (Huawei) เท็นเซ้นต์ (Tencent) iFlytek ,Cloud Slave Technologies และ JD.com มีพื้นฐานการพัฒนาที่แข็งแรง
ที่เซินเจิ้นได้เริ่มใช้ AI เข้ามาจัดการกับระบบขนส่งมวลชน ทำให้การจัดการปล่อยรถออกมาบริการประชาชนช่วงเวลาเร่งด่วนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยรถขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ประชาชนที่โดยสารก็รู้สึกสบายขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ (ไม่เบียดเสียดแออัดจนมากเกินไป)
นายเฉิน หัวหน้าทีมจัดส่งขบวนรถประจำทางเซินเจิ้น กล่าวว่า ปัจจุบันติดตั้งระบบอัจฉริยะในรถประจำทาง 6,000 กว่าคัน AI สามารถเก็บข้อมูลการไหลของผู้โดยสารของรถแต่ละคันอย่างครอบคลุม โดยจะประมวลผลผ่านแผนภาพแบบไดนามิก เช่น ช่วงเวลาใดผู้โดยสารมีมากเป็นพิเศษ หรือเกิดเหตุการณ์สุดวิสัยขึ้นจะแจ้งเตือนทันที ต้นทางบริหารการเดินรถจะสามารถปรับความถี่ในการออกรถและแก้ปัญหาอื่นๆ ได้ทันท่วงที ไม่เพียงแต่ช่วยให้บริษัทขนส่งลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น คนที่รอรถโดยสารช่วงเวลาเร่งด่วนก็ไม่ต้องรอนานเหมือนแต่ก่อน
มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ขนาดของอุตสาหกรรมอัจฉริยะของจีนจะมีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านหยวน ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ปัจจุบันนวัตกรรมด้าน AI และบิ๊กดาต้าถูกใช้กันกว้างขวางขึ้นในภาครัฐและภาคธุรกิจ ที่ประชาชนสามารถสามารถเข้าถึงได้อย่าง Chat Bot (การพูดคุยกับหุ่นยนต์) ยังใช้กันน้อยมากและในช่วงนี้ในจีนมีการเปิดโปงกลโกงของแก๊งมิจฉาชีพที่อัปเกรดไปใช้ AI เพื่อหลอกเหยื่อกันมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันทางการจีนมีแนวโน้มที่จะจำกัดการใช้ AI ในกลุ่มประชาชนเพราะอาจจะเกิดความเสียหายมาให้มากกว่าให้ประโยชน์