โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ผู้เขียนอยากจะมาบอกเล่าสู่กันในประเด็นที่น่าสนใจที่จะได้รู้จักจีนมากยิ่งขึ้นในอีกมุมหนึ่ง จีนเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก และมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ จีนคือประเทศกำลังพัฒนาที่ร่ำรวยที่สุด และปัจจุบันจีนพยายามที่จะขึ้นมามีบทบาทในเวทีโลก โดยเฉพาะการผลักดันโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ปล่อยเงินกู้โครงสร้างพื้นฐานให้หลายประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ เพราะเหตุนี้ทำให้หลายคนมองว่าจีนเจริญมั่งคั่งในมุมของเศรษฐกิจและธุรกิจ หลายประเทศทั่วโลกต่างอยากขยายความร่วมมือกับจีนแทบทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่เรารู้สึก สิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงทั้งหมด การพัฒนาของจีนในปัจจุบันมีปัญหาใหญ่ที่สำคัญหนึ่งคือ “ความเหลื่อมล้ำ” และการเติบโตของเมืองที่ไม่สม่ำเสมอ เมืองใหญ่ชั้นหนึ่งอย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น มีการพัฒนาที่ดีกว่า ระดับรายได้ของประชาชนและราคาบ้านของเมืองชั้นหนึ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองชั้นหนึ่งจีนติดอันดับโลกด้วย
อินฟลูเอนเซอร์จีนรายหนึ่งได้สุ่มสอบถามประชาชนจีนคนเดินถนนทั่วไปว่า “คนที่มีเงินเก็บ 5 แสนหยวน หรือ 2.5 ล้านบาท ถือว่าเยอะแล้วหรือไม่” คำตอบส่วนใหญ่ที่ได้คือ “ต้องดูว่าอยู่ที่ไหน หากว่าเป็นในเมืองใหญ่เงิน 5 แสนหยวนถือว่าน้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการจ่ายเงินดาวน์ซื้อบ้านด้วยซ้ำ แต่การมีเงิน 5 แสนหยวนจะเพียงพอกับการใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ เงินจำนวนนี้อยู่ได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องดิ้นรนมาก” ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า เงิน 5 แสนหยวนในเมืองใหญ่และเมืองเล็กในจีนมีค่าที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลังโควิด-19 เป็นต้นมา ความเหลื่อมล้ำของสังคมจีนดูจะมากขึ้นไปอีก ผู้เขียนขอยกตัวอย่างล่าสุด นักไลฟ์สดจีน ‘ซินปา’ ที่เดินทางไปไทยไลฟ์สดขายทุเรียนให้แฟนคลับชาวจีน ปรากฏว่า การไลฟ์สดของเขาทำสถิติให้ทุกคนต้องอ้าปากค้าง เพราะในเวลาอันสั้นเขาสามารถไลฟ์ขายทุเรียนได้เป็นจำนวนมหาศาล โดยการไลฟ์สดขายทุเรียนและสินค้าเกษตรอื่นๆ ของไทยเพียงครั้งเดียวสามารถทำยอดขายได้ทั้งหมด 830 ล้านหยวน มียอดคำสั่งซื้อกว่า 6.78 ล้านรายการ
ประเด็นดังกล่าวเป็นข่าวดังในจีนเช่นกัน และมีชาวเน็ตจีนไปให้คอมเมนต์ในลักษณะที่ว่า “ไม่น่าเชื่อว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของคนในประเทศจะมากขนาดนี้ คนพวกนี้ได้เงินค่าคอมมิชชันมหาศาล โอกาสและการไหลเข้าของเงินกระจุกตัวอยู่กับคนชั้นบนๆ ของสังคม มาไม่ถึงประชาชนคนข้างล่าง ในจีนมีคนอีกมากมายในประเทศจะหางานทำยังหาไม่ได้เลย” อีกคอมเมนต์หนึ่งกล่าวว่า “แทนที่จะไลฟ์ขายของเกษตรกรจีนกลับไปขายสินค้าเกษตรต่างประเทศ รัฐบาลต้องตรวจสอบรายได้ของคนพวกนี้ดีๆ ว่าเสียภาษีถูกต้องหรือไม่” บ้างก็มีดรามาบอกว่า “ไลฟ์สดนี้ทำให้ราคาทุเรียนที่ตอนแรกถูกๆ ตอนนี้ปั่นราคาแพงขึ้นไปอีก” เป็นต้น
หลังโควิด-19 เป็นต้นมา ชาวจีนทั่วไปปัจจุบันทำมาหากินไม่คล่องเหมือนแต่ก่อน ไม่ว่าทำธุรกิจ หรือเป็นพนักงานบริษัทก็ต้องแบกรับความเสี่ยงหลายประการ แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วยงานก็ต้องยอมรับการถูกปรับลดเงินเดือน และสวัสดิการ
เศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ที่เคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศมีมากขึ้น ทำให้ในแต่ละปีมีคนจีนจำนวนมากเดินทางไปทำงานและเรียนต่างประเทศ คนเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกันคือ เพื่อแสวงหาอนาคตและโอกาสของชีวิตที่ดีกว่าในต่างแดน
ในแต่ละปีมีคนจีนที่เดินทางออกไปขายแรงงานในต่างประเทศปีละมากกว่า 5 แสนคน! และจนถึงปี 2022 มีแรงงานจีนที่เดินทางออกไปทำงานต่างประเทศสะสมมากกว่า 16 ล้านคน โดยตัวเลขนี้ไม่นับรวมแรงงานที่เดินทางออกไปเองและไม่มีการลงทะเบียนกับทางรัฐบาลจีน
ธนาคารโลกได้รายงานว่า ปี 2022 แรงงานข้ามชาติทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 210 ล้านคน ในจำนวนนี้มีแรงงานชาวจีนอยู่ 11 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 6 เปอร์เซ็นต์ของแรงงานข้ามชาติทั่วโลกทั้งหมด และที่น่าสนใจคือ แนวโน้มการออกไปขายแรงงานของชาวจีนในต่างประเทศไม่ได้มีแนวโน้มที่ลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น
ในปี 2022 ขนาดของเศรษฐกิจจีนสูงถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่รายได้ประชากรจีนต่อหัวเฉลี่ย 12,700 ดอลลาร์/คน/ปี หรือประมาณ 4.29 แสนบาท/คน/ปี สถานการณ์แท้จริงในจีนคือรวยกระจุกจนกระจาย ทรัพย์สินส่วนมากอยู่ในมือคนรวยกลุ่มเล็กๆ
ในปี 2019 นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียง ได้ออกมาเผยว่า ยังมีคนจีน 600 ล้านคนทั่วประเทศที่มีรายได้ต่อเดือนไม่ถึง 1,000 หยวน หรือน้อยกว่า 5,000 บาทต่อเดือน ซึ่งหากคิดรายได้ต่อปีไม่ถึง 60,000 บาทด้วยซ้ำ ห่างจากตัวเลข 4.29 แสนบาท/คน/ปีอยู่มากโข ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในกลุ่มประชาชนจีน
มีสื่อจีนประเมินว่าในปีนี้คนจีนจะออกไปทำงานขายแรงงานในต่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้นกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ครอบคลุมกลุ่มคนที่ทำงานใช้แรงงานและกลุ่มคนที่มีใบปริญญา กลุ่มคนที่ไปทำงานต่างประเทศต่างคาดหวังกับการทำงานที่เหนื่อยเหมือนทำงานในประเทศแต่มีรายรับที่ดีกว่า โดยประชาชนคนจีนทั่วไปมองว่าปัจจุบันนี้การทำงานประจำและรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และต้นทุนการใช้ชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น
กลุ่มชาวจีนที่ออกไปทำงานในต่างประเทศมีจำนวนมากที่เลือกทำกับบริษัทของจีนที่มีธุรกิจในต่างประเทศ อย่างเช่น ไซต์งานก่อสร้างในต่างประเทศของบริษัทจีน ต้องการวิศวกรและล่ามชาวจีนจำนวนมาก คนจีนที่ถูกส่งออกไปทำงานจะได้รับเงินเดือนและสวัสดิการที่ดีกว่าในประเทศ แต่ต้องแลกกับสิ่งแวดล้อมการทำงานที่อาจจะลำบากและห่างไกลความเจริญ นอกจากงานการก่อสร้างของบริษัทจีนในต่างประเทศที่ต้องการแรงงานจีนแล้ว ยังมีบริษัทจีนอื่นๆ ที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศก็ต้องการคนจีนทำงานมากเช่นกัน ตรงนี้เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนจีนออกไปทำงานในต่างประเทศมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนจีนที่หางานทำในต่างประเทศด้วยตัวเองผ่านเอเยนซีช่วยหางาน การจ่ายเงินค่าเอเยนซีก็ไม่น้อย ว่ากันว่าต้องเตรียมเงินกันอย่างต่ำ 30,000-50,000 หยวน หรือประมาณ 1.5-2.5 แสนบาท ประเทศที่มีคนจีนออกไปทำงานมากที่สุด 2 ประเทศใกล้บ้านคือ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
กระทรวงแรงงานของญี่ปุ่นได้เปิดเผยตัวเลขแรงงานต่างชาติในประเทศญี่ปุ่นประจำปี 2022 รายงานว่า แรงงานต่างชาติถูกกฎหมายในญี่ปุ่นมีอยู่จำนวน 2.2 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวจีน 21.2 เปอร์เซ็นต์
ในฟากของประเทศเกาหลีใต้ รัฐบาลเกาหลีใต้รายงานว่า ปัจจุบันมีชาวจีนพำนักอยู่ในเกาหลีใต้ 750,000 คน คิดเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ของชาวต่างชาติที่พำนักในเกาหลีใต้ทั้งหมด (ตัวเลขจริงอาจจะมากกว่านี้เพราะยังไม่นับรวมชาวจีนที่เป็นผีน้อย พำนักแบบผิดกฎหมายในเกาหลีใต้)
มีชาวเน็ตจีนส่วนหนึ่งที่เคยไปทำงานร้านอาหาร หรือโรงงานที่เกาหลีใต้ ได้แชร์ประสบการณ์การทำงาน ส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจไปทำงานเพราะเงินดี งานร้านอาหารหรือโรงงานทั่วไปทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ก็สามารถมีรายรับเดือนละมากกว่า 10,000 หยวน หรือมากกว่า 50,000 บาท ซึ่งการทำงานร้านอาหารในจีน โรงงานในจีนจะมีรายได้น้อยกว่ามาก (รายได้ขั้นต่ำเกาหลีใต้ปัจจุบัน 250 บาท/ชั่วโมง) เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่รายได้ของแรงงานดีกว่าในจีนมาก และหากเป็นแรงงานที่มีความสามารถ มีทักษะจะได้ค่าตอบแทนมากขึ้นไปอีก โดยกรมการแรงงานจีนเคยเปิดเผยว่าแต่ละปีคนจีนที่เดินทางออกไปทำงานที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น อีกเหตุผลหนึ่งเพราะ 2 ประเทศนี้อัตราการเกิดต่ำอย่างต่อเนื่องเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้น จึงมีความต้องการแรงงานจึงมีจำนวนมาก
และจากความต้องการของคนที่อยากออกไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น ที่จีนจึงเกิดพวกแก๊งหลอกลวงชักชวนคนให้ออกไปทำงานต่างประเทศ โดยหลอกลวงว่าเป็นงานสบายได้เงินดี พอมีเหยื่อหลงเชื่อเดินทางไปต่างประเทศจริงๆ ก็โดนกักขังให้เข้าไปอยู่ในค่ายและบังคับให้ทำงานแบบผิดกฎหมาย เช่น พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในต่างประเทศ ที่รัฐบาลจีนตามจับและมีให้เห็นในหน้าข่าวอยู่ไม่น้อย
ดังนั้น ในภาพการเติบโตและการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของจีนยังแฝงไปด้วยปัญหานานัปการ ปัญหาปากท้องเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นประเด็นที่ท้าทายของรัฐบาลจีนที่จะต้องหาวิธีทำให้ช่องว่างทางรายได้ของคนในประเทศลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ