ผู้นำจีนให้คำมั่นต่อบรรดาผู้นำชาติภูมิภาคเอเชียกลาง ขยายการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ และเครือข่ายเชื่อมโยงการค้าอื่นๆ ระหว่าง 2 ฝ่าย พร้อมกับเสนอให้มีการพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติร่วมกัน
เนื้อหาในสุนทรพจน์ต่อผู้นำ คาซักสถาน คีร์กิซสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน ระหว่างการประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลาง ที่เมืองซีอาน ทางภาคตะวันตกของจีน เมื่อวันศุกร์ (19 พ.ค.) ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ระบุว่า เราจำเป็นต้องขยายความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการค้า นอกจากนั้น ยังเรียกร้องให้ภูมิภาคเอเชียกลาง “ต่อต้านการแทรกแซงจากภายนอกอย่างเด็ดเดี่ยว” และ “ความพยายามยุยงส่งเสริมให้เกิด การปฏิวัติสี” ซึ่งเขาหมายถึงการเคลื่อนไหวโค่นล้มผู้นำชาติต่างๆ ที่ผ่านมา เช่น ยูเครน และจอร์เจีย ข้อเรียกร้องดังกล่าวของผู้นำแดนมังกรเสมือนเป็นการตีแสกหน้าบรรดาผู้นำชาติตะวันตก
ประธานาธิบดีสี ให้คำมั่นว่า จีนจะสนับสนุนให้มีการค้าข้ามพรมแดนมากขึ้นด้วยการพัฒนาถนนและเส้นทางรถไฟ การส่งเสริมให้บริษัทการค้าของจีนไปตั้งคลังสินค้าในเอเชียกลาง ตลอดจนปรับปรุงขั้นตอนการนำเข้าสินค้าให้มีความสะดวกรวดเร็วขึ้น อีกทั้งยังเสนอให้มีการจัดตั้งความเป็นหุ้นส่วนระหว่างจีนกับเอเชียกลางในการพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยจีนต้องการเร่งการก่อสร้างท่อส่งเพิ่มอีกแห่งให้เร็วขึ้น เพื่อป้อนน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากเอเชียให้แก่เศรษฐกิจของจีน รวมทั้งเสนอให้มีการส่งเสริมการใช้พลังงานปรมาณู
นอกจากนั้น จีนจะช่วยรัฐบาลชาติเอเชียกลางสร้างความแข็งแกร่งด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ตลอดจากการต่อสู้กับลัทธิก่อการร้าย และมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสันติภาพในอัฟกานิสถาน
ประธานาธิบดีสี ระบุว่า เราไม่ควรนิ่งเฉยต่อกองกำลังทั้ง 3 ได้แก่ ลัทธิก่อการร้าย ลัทธิการแบ่งแยกดินแดน และลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่ง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจีนกล่าวหาชาติตะวันตกว่า ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในภูมิภาคซินเจียง ซึ่งมีชาวมุสลิมเชื้อสายอุยกูร์อาศัยอยู่ และมีความผูกพันกับเอเชียกลาง
การประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลาง ระหว่างวันที่ 18-19 พ.ค. จัดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และผู้นำกลุ่มชาติอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 หรือ จี7 มีการประชุมกันที่ญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลปักกิ่งในการพัฒนาเครือข่ายการค้าและความมั่นคง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่จีน ซึ่งไม่พอใจอิทธิพลครอบงำโลกของสหรัฐฯ
ที่มา : เอพี