โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ผู้เขียนขอนำเล่าเรื่องราวการเติบโตของแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นสุดฮอตของจีน หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า “โต่วอิน” (Douyin) และ “ติ๊กต็อก” (Tiktok) คือแพลตฟอร์มที่มาจุดกำเนิดมาจากบริษัทแม่เดียวกันคือ ไบต์แดนซ์ (ByteDance) มีลักษณะการใช้งานที่เหมือนกัน แต่ “ได้ถูกแยกออกจากกันเพราะเงื่อนไขการใช้งานที่ต่างกัน” เวอร์ชันภายในประเทศจีนใช้ชื่อ “โต่วอิน” และเวอร์ชันสำหรับต่างประเทศใช้ชื่อ “ติ๊กต็อก”
ติ๊กต็อกมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่ถึง 5 ปี มีผู้ใช้มหาศาลจนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของแพลตฟอร์มโซเชียลเจ้าตลาดเดิมอย่างเฟซบุ๊ก และยูทูป โดยในเดือน ธ.ค.ปี 2019 จำนวนการดาวน์โหลดแอปติ๊กต็อกในกูเกิลสโตร์ทุบสถิติสูงสุดที่การดาวน์โหลดในเดือนเดียวสูงถึง 57 ล้านครั้ง และปี 2019 ทั้งปีจำนวนการดาวน์โหลดแอปติ๊กต็อกในทุกแอปสโตร์มีมากกว่า 508 ล้านครั้ง ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้ติ๊กต็อกเป็นประจำ (Daily active user)ในปี 2022 มีมากกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลกแล้ว
สำหรับเวอร์ชันในประเทศจีน “โต่วอิน” ครองตลาด 50 เปอร์เซ็นต์ในจีน ในขณะที่คู่แข่งของโต่วอินคือ แพลตฟอร์มไคว่โส่ว (Kuaishou) มีส่วนแบ่งในตลาดจีนประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นในปัจจุบันโต่วอินเป็นเจ้าตลาดแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่มีผู้ใช้ในจีนมากที่สุด
โต่วอินเริ่มเปิดตัวให้ผู้ใช้ชาวจีนในปี 2016 โดยชูฟีเจอร์ที่โดดเด่นที่ถ่ายวีดีโอสั้นพร้อมใส่เพลงและลูกเล่นต่างๆ ได้ กลายเป็นวิดีโอสั้นส่วนตัวที่มีความโด่ดเด่นในแบบฉบับของผู้ใช้เอง โต่วอินเหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกช่วงอายุ ทำให้หลังเปิดตัวได้ไม่นานโต่วอินได้รับความนิยมจากผู้ใช้ชาวจีนอย่างรวดเร็ว เพราะในขณะนั้นโต่วอินคือแพลตฟอร์มโซเชียลที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนกับแพลตฟอร์มโซเชียล ‘เวยปั๋ว’ (Weibo) ที่เน้นแชร์ข้อความและรูปภาพ
ปัจจุบันผู้ใช้โต่วอินมีจำนวนมากกว่า 800 ล้านคน ซึ่งมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของประชากรจีน ในจีนมีผู้ใช้ประจำรายวัน (Daily active user) จำนวน 150 ล้านคน มีผู้ใช้ประจำรายเดือน (Monthly active user) มากกว่า 300 ล้านคน ผู้ใช้ประจำของโต่วอินใช้เวลาเฉลี่ยบนแพลตฟอร์มคนละ 120 นาที หรือ 2 ชั่วโมง ในประเทศจีนโต่วอินถือเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.การลงทะเบียนใช้งานไม่ยุ่งยาก ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ สามารถลงทะเบียนใช้งานได้หมด หลายคนอาจจะคิดว่ากลุ่มผู้ใช้โต่วอินคือกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานเป็นส่วนมาก กลุ่มผู้ใช้ผู้สูงอายุมีไม่เยอะ แต่จริงๆ แล้วในจีนกลุ่มผู้ใช้โต่วอินอายุ 50 ปีขึ้นไปมีเป็นจำนวนมากไม่น้อยไปกว่ากลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานเลย
2.วิดีโอสั้นไม่กี่วินาทีเป็นจุดขายสำคัญ แพลตฟอร์มเข้าใจพฤติกรรม “เวลาเล็กน้อยของคนส่วนใหญ่ที่ชอบหยิบมือถือขึ้นมาดูระหว่างวัน” หลายคนชอบสไลด์ขึ้นลงดูคลิปวิดีโอที่ตัวเองสนใจ ตรงนี้เองช่วยให้กลุ่มผู้ใช้ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว และโต่วอินสามารถแย่งผู้ใช้จากแพลตฟอร์มโซเชียลอื่นมาได้มาก
3.การเข้าใจและเข้าถึงพฤติกรรมของคนได้ดีจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ก่อนจะมีแพลตฟอร์มโต่วอิน บริษัทไบต์แดนซ์ได้ออกแพลตฟอร์มข่าวออนไลน์ ‘โถวเถียว’ (Toutiao) มาก่อน โดยแพลตฟอร์มข่าวนี้เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นพื้นฐานของการสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลโต่วอิน แพลตฟอร์มข่าวออนไลน์ Toutiao ได้พัฒนาและฝึกอัลกอริธึมปัญญาประดิษฐ์ของตัวเอง เพื่อใช้ในการประมวลผลและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้แบบปัจเจกบุคคล ทำให้การนำเสนอต่อผู้ใช้แต่ละคนตรงจุด ตรงกับความชอบ เพราะเหตุนี้ทำให้ผู้ใช้ติดและชอบการอ่านข่าว อ่านเรื่องราวประเด็นต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Toutiao จากความสำเร็จของแพลตฟอร์มข่าวออนไลน์ Toutiao นี้เอง ทำให้ไบต์แดนซ์ต่อยอดไปสู่โต่วอินได้ง่าย และโต่วอินใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่ชาญฉลาดเข้ามาประมวลและเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ แนะนำวิดีโอตามสไตล์ที่ผู้ใช้แต่ละคนสนใจ
4.โต่วอินเมื่อเริ่มต้นเปิดตัวชักชวนดาราและเซเลบมากมายมาใช้แพลตฟอร์มและทำคลิปสั้น เพื่อสื่อสารกับแฟนคลับ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีผู้คนติดตามจำนวนมาก ทำให้การแชร์ต่อและการใช้โต่วอินแพร่หลายอย่างรวดเร็ว
5.การผนวกรวมกับไลฟ์สตรีมมิ่งขายของออนไลน์ ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวจีนเปลี่ยนไปมาก การซื้อของออนไลน์กลายเทรนด์ใหม่ โต่วอินเองเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นและสตรีมมิ่งออนไลน์อยู่แล้ว การเพิ่มส่วนการซื้อขายสินค้าออนไลน์ทำได้ไม่ยาก อีกทั้งการสตรีมมิ่งไลฟ์สดเพื่อแนะนำสินค้า หรือการคุยโต้ตอบกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ ก็เป็นฟังชันก์ที่โต่วอินมีพร้อมอยู่แล้ว
แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นโต่วอินใช้เวลาการเติบโตเพียง 6 ปี ก็สามารถขยายฐานผู้ใช้เป็นหลักหลายร้อยล้าน มีผู้ใช้ประจำทั้งรายวันและรายเดือนหลักร้อยล้าน เป็นกุญแจนำพาไปสู่การพัฒนาการค้าบริการด้านอื่นๆ เช่น อีคอมเมิร์ซของโต่วอิน ปี 2022 มีมูลค่าการตลาดสูงถึง 1.5 ล้านล้านหยวน สำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมูลค่าการตลาดขนาดนี้ถือว่าสูงมาก ปัจจุบันยอดการค้นหาสินค้าบนโต่วอินสูงถึง 6.4 พันล้านครั้ง แสดงว่าการซื้อของบนแพลตฟอร์มโต่วอินนับวันยิ่งได้รับความนิยม ในอนาคตจะมีโอกาสให้ผู้ค้ารายใหม่ได้เข้ามาทำการตลาดและการแข่งขันในอนาคตก็จะเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
โต่วอินมีอัลกอริธึมที่แม่นยำสามารถปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา ทำให้ดึงดูดผู้ใช้ให้เข้าร่วมโต่วอินได้มากขึ้นๆ มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ โต่วอินยังพยายามสํารวจแสวงหาวิธีการเติบโตใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น การร่วมมือกับเทนเซนต์ (Tencent) และ เวยปั๋ว เพื่อเผยแพร่เนื้อหาวิดีโอสั้นของโต่วอิน ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ใหม่มากขึ้น สร้างความคุ้นเคยกับผู้ใช้ที่หลากหลาย
การอัปเกรดเทคโนโลยีโต่วอิน มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น มีการอัปเกรดเทคโนโลยีการจดจําใบหน้าและฟิลเตอร์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยมากขึ้น ช่วยปรับปรุงคุณภาพและความน่าสนใจของวิดีโอ นอกจากนี้ ยังพยายามควบรวมเทคโนโลยี AR เทคโนโลยี VR เข้ามาใช้ในวิดีโอสั้น เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่แปลกใหม่และน่าสนใจยิ่งขึ้นให้ผู้ใช้ เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ช่วยเพิ่มความภักดีของผู้ใช้บนแพลตฟอร์มโต่วอิน
ดรามาไล่แบนแอปจีนในสหรัฐฯ
ในเรื่องของโต่วอินเวอร์ชันต่างประเทศ ติ๊กต็อกที่กำลังเป็นดรามากันอยู่จากประเด็นการถกเถียงคือ ติ๊กต็อกคือภัยคุกคามต่อความมั่นคงประเทศและเป็นภัยคุกคามต่อข้อมูลผู้ใช้งานสหรัฐฯ และปัจจุบันติ๊กต็อกได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศไปแล้ว ในขณะที่จีนมองว่าสหรัฐฯ กำลังกลั่นแกล้งบริษัทจากจีน โดยเฉพาะบริษัทจีนที่กำลังจะขึ้นมายิ่งใหญ่บนเวทีโลก
ติ๊กต็อกกล่าวว่า การให้บริการกับผู้ใช้ชาวสหรัฐฯ มีความโปร่งใสทุกกระบวนการ ข้อมูลทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาจะถูกเก็บไว้ในสหรัฐอเมริกา โดยจะถูกส่งไปบริษัท ออราเคิล (Oracle) ของสหรัฐอเมริกาทั้งหมด และหากรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการเรียกใช้ข้อมูลของผู้ใช้ติ๊กต็อกก็ไม่จําเป็นต้องหาเรียกหาจากติ๊กต็อกเลยด้วยซ้ำ เพราะสามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลของ Oracle ได้โดยตรง
ส่วนที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าติ๊กต็อกมีความเสี่ยงข้อมูลจะรั่วไหลนั้น ถ้ารั่วไหลจริงก็อาจจะมาจากการขายข้อมูลผู้ใช้โดยบริษัท Oracle ก็เป็นไปได้เช่นกัน ติ๊กต็อกย้ำกับสหรัฐฯ ว่าข้อมูลทั้งหลายที่สหรัฐฯ กังวลไม่ได้อยู่ในมือของติ๊กต็อก หรือไบต์แดนซ์เลย เหมือนกับบริษัทแอปเปิลขายโทรศัพท์มือถือในประเทศจีน ข้อมูลของผู้ใช้ชาวจีนของแอปเปิลจะถูกเก็บไว้ในฐานบิ๊กดาต้าที่กุ้ยโจว ประเทศจีน และห้ามรั่วไหลออกนอกประเทศ
จีนมองว่าการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันที่จะแบนติ๊กต็อกไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง “ความปลอดภัยของติ๊กต็อก” แต่เหตุผลพื้นฐานจริงๆ คือ สหรัฐฯ ต้องการรักษาความเป็นเจ้าโลกในทุกด้าน ทุกวันนี้มีแอปพลิเคชันเพียง 5 รายที่มีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 1,000 ล้านคนต่อวันทั่วโลก โดย 4 แอปเป็นของสหรัฐฯ และมีเพียงแอปเดียวคือ ติ๊กต็อก ที่ริเริ่มโดยบริษัทจีน คนอเมริกัน 50 เปอร์เซ็นต์ ยุโรป 30 เปอร์เซ็นต์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 30 เปอร์เซ็นต์ ใช้ติ๊กต็อกกัน และผู้ใช้ติ๊กต็อกเป็นประจำวันทั่วโลกมีกว่า 1,000 ล้านคนเช่นกัน โดยติ๊กต็อกเองมองว่าสหรัฐฯ พยายามที่จะแบนการใช้ติ๊กต็อกของคนในประเทศ แต่เป็นการยากที่จะควบคุมทุกประเทศทั่วโลกไม่ให้ใช้ สิ่งที่สหรัฐฯ อาจจะกำลังพยายามทำในอนาคตคือ ดึงประเทศพันธมิตรโดยเฉพาะกลุ่มชาติตะวันตกด้วยกันให้คว่ำบาตรและแบนติ๊กต็อกให้มากขึ้น
สรุปคือ ไม่ว่าจะ ‘โต่วอิน’ หรือ ‘ติ๊กต็อก’ มีการริเริ่มพัฒนามาจากบริษัทเดียวกันคือไบต์แดนซ์ ดังนั้น ถึงแม้ว่าผู้บริหารของติ๊กต็อกในสหรัฐฯ จะอธิบายจนหืดขึ้นคอก็คงเป็นการยากที่จะทำให้ผู้นำสหรัฐฯ หายสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวและการใช้งาน
ทั้งนี้ โต่วอิน และติ๊กต็อก มีพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องมาตลอดในด้านเทคโนโลยีประมวลผลเพื่อประสบการณ์ที่ดีขึ้นของผู้ใช้ ขณะที่ในประเทศจีน ‘โต่วอิน’ได้ร่วมมือกับหลายบริษัทไอทียักษ์ใหญ่เพื่อออกบริการและออปชันอื่นๆ ที่มากขึ้น แต่ติ๊กต็อกกลับต้องเผชิญความท้าทายนนเวทีโลกอย่างสาหัส เราต้องดูกันต่อไปว่าติ๊กต็อกจะวางหมากและเดินต่อไปอย่างไรในเวทีโลก