สงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ-จีนเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ล่าสุด จีนสั่งตรวจสอบชิปนำเข้าจาก “ไมครอนเทคโนโลยี” บริษัทผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ
หน่วยงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์ของจีน (Cyberspace Administration of China - ซีเอซี) แถลงเมื่อวันศุกร์ (31 มี.ค.) ว่า จะเริ่มดำเนินการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของ "ไมครอน" ในจีน เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแดนมังกร
“ไมครอน” กลายเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ต่างชาติรายแรกที่ถูกจีนพิจารณาทบทวนในเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม บริษัทซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองบอยซี รัฐ ไอดาโฮ กล่าวว่า พร้อมให้ความร่วมมือในการสอบสวนอย่างเต็มที่
นายหวัง ลี่ฝู นักวิเคราะห์ของไอซีไวส์ (ICwise) บริษัทวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ในเซี่ยงไฮ้มองว่า ปักกิ่งกำลังส่งสัญญาณเตือนกลุ่มพันธมิตรชิปโฟร์ (Chip 4 Alliance) ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันในท่ามกลางสถานการณ์ที่จีนกำลังถูกปิดกั้นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทุกด้าน จากมาตรการจำกัดการส่งออกเครื่องมือสำหรับผลิตชิปและเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงไปจีน ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้ริเริ่ม จีนมองว่า การจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรชิปโฟร์เป็นแผนรวมหัวกันกีดกันจีนจากห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการติดป้ายเตือนบริษัทผู้ผลิตชิปหน่วยความจำของเกาหลีใต้ที่ยังมีโรงงานผลิตอยู่ในจีน คือ “ซัมซุงอิเล็กทรอนิสก์” และ “เอสเคไฮนิกซ์” ว่า อย่าทำตามสหรัฐฯ
สัญญาณเตือนนี้ยังส่งไปไกลถึงเนเธอร์แลนด์ ซึ่งรัฐบาลได้ทำข้อตกลงร่วมกับญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ในการจำกัดการส่งออกเครื่องมือผลิตชิปขั้นสูงบางประเภทไปจีน
นายหวัง ชี้ว่า ที่ผ่านมา จีนยังไม่เคยออกหมัดเด็ดตอบโต้มาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ โดยอาศัยข้ออ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติเลย แต่ “ไมครอน” ถูกสอบสวนเป็นรายแรกเพราะรัฐบาลจีนมองว่า บริษัทมะกันรายนี้มีบทบาทในเชิงลบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน โดยในปี 2560 บริษัทผลิตชิปของรัฐบาลจีนในมณฑลฝูเจี้ยนถูก “ไมครอน” กล่าวหาว่า ขโมยเทคโนโลยี ทำให้ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรและต้องระงับการผลิตไป
“ไมครอน” เองเคยระบุในรายงานด้านการเงินประจำปี 2564 ว่า ปักกิ่งสนับสนุนผู้ผลิตดีแรมในประเทศ ซึ่งอาจทำให้กิจการของ “ไมครอน” ไม่โต
นอกจากนั้น รัฐบาลจีนยังสงสัยว่า “ไมครอน” อาจอยู่เบื้องหลังการผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ คว่ำบาตรจีน และเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายหนึ่งที่วิ่งเต้นชนิดขาขวิด เพื่อให้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนเพิ่มเงินจัดตั้งกองทุนสำหรับการผลิตชิปในประเทศเป็นจำนวน 52,000 ล้านดอลลาร์ โดยไม่กี่เดือนก่อนหน้าสหรัฐฯ จะตรากฎหมาย “ชิปและวิทยาศาสตร์” (CHIPS and Science Act) ในเดือน ส.ค.2565 บริษัทก็ประกาศแผนปิดศูนย์การออกแบบไดนามิกแรม หรือดีแรมในเซี่ยงไฮ้ในสิ้นปี 2565 พร้อมกับเสนอเงินให้วิศวกรชาวจีน 150 คนย้ายไปทำงานที่สหรัฐฯ หรืออินเดียแทน
ทั้งนี้ ชิปของ “ไมครอน” ยังอาจหาจากผู้ผลิตในท้องถิ่นรายอื่น เช่น บริษัท แยงซี เมมโมรี เทคโนโลยีส์ หรือจากบริษัทของเกาหลีอย่างซัมซุง และเอสเคไฮนิกซ์ มาทดแทนได้ไม่ยาก ผิดกับอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์จากบริษัทอาร์เอสเอ็มแอล หรือหน่วยประมวลผลด้านกราฟิกของบริษัทอินวิเดีย ซึ่งจีนยังหาจากที่อื่นมาทดแทนไม่ได้
นายหวัง ระบุว่า การตรวจสอบของจีนยังมีขึ้นในขณะที่ “ไมครอน” กำลังอ่อนแอจากการขาดทุนประจำไตรมาสครั้งเลวร้ายสุดในรอบ 2 ทศวรรษ ซึ่งทำให้ต้องเร่งการเลิกจ้างพนักงาน และลดกำลังการผลิต ท่ามกลางความต้องการซื้อคอมพิวเตอร์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ลดลงทั่วโลก
บริษัทข้ามชาติรายอื่นๆ ที่ทำธุรกิจในจีนกำลังจับตามองกระบวนการและผลการสอบสวน การพิจารณาทบทวนของซีเอซี ทำให้กฎระเบียบการทำธุรกิจในจีนมีข้อควรระมัดระวังและมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
นางเฟิง ฉยง นักกฎหมายด้านเซมิคอนดักเตอร์ในกรุงปักกิ่งระบุว่า ถ้ากรณีของ “ไมครอน” มีความซับซ้อน การสอบสวนอาจใช้เวลานานกว่า 30 วันกว่าจะเสร็จสิ้น โดยอ้างตามมาตรการพิจารณาทบทวนความมั่นคงไซเบอร์ของจีน
นายหวัง แห่งไอซีไวส์ ระบุว่า การสั่งปรับอาจเป็นการเตือนอย่างนุ่มนวลที่สุด แต่ถ้า “ไมครอน” ยังไม่สำนึกผิด หรือแก้ไขปรับปรุง ขั้นตอนต่อไปอาจเป็นการจำกัดการนำเข้า หรือห้ามการเข้าตลาดจีนไปเลยก็เป็นได้ การสั่งสอบสวนผลิตภัณฑ์ของ “ไมครอน” สะท้อนให้เห็นทัศนคติของรัฐบาลจีน ที่พร้อมเปิดตลาดแก่นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะได้รับการสนับสนุน แต่ถ้านักลงทุนทำผิดก็จะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน
ข้อมูลจาก "Why China launched a cybersecurity review into US memory chip maker Micron Technology and what could happen next" ในเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์