เพียงชั่วหนึ่งสัปดาห์จากช่วงวันที่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำปักกิ่งจัดงาน “เทศกาลไทย” ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมเกินคาด ระหว่างจัดงาน (วันที่ 11-12 มี.ค.) วรรคทองแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน “จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” กลายเป็นหัวข้อพูดคุยยอดนิยมอันดับหนึ่งในโลกแพลตฟอร์มโซเชียลจีน “เวยปั๋ว”
ทว่า ในสัปดาห์ถัดมา ภาพลักษณ์ไทยพลิกเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เนื่องจากปรากฏการณ์สร้างกระแส “แอนตี้ไทย-เมืองไทยอันตราย” บนโลกโซเชียลและบนหน้าสื่อที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในประเทศจีนอยู่ขณะนี้ จากประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ค่าครองชีพสูงในไทย หวดซ้ำด้วยคลิปเตือนประเทศไทยเป็นถิ่นอันตรายที่สร้างความสยดสยองไปทั่ว นั่นคือ คำเตือนภัยล่อลวงนักท่องเที่ยวไปผ่าตัดควักไตแบบไม่มีกรณีที่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนใดๆ ประเด็นนี้ได้รับการขานรับในแพลตฟอร์มโซเชียลจีนรายหลักๆ ราวกับไฟไหม้ป่าใหญ่
จากต้นสัปดาห์มานี้มีรายงานข่าวที่เผยแพร่ในค่ายสื่อหลักในจีน พาดหัวข่าวกันเกรียวว่า ค่าครองชีพในไทยแพงกระฉูด! สวรรค์แหล่งท่องเที่ยวไทยกำลังกลายเป็นที่ที่เอื้อมไม่ถึง ไปไม่ได้แล้ว เป็นต้น ประเด็นนี้กลายเป็นฮอตเสิร์ชในโซเชียลจีน ‘เวยปั๋ว’ นอกจากนี้ ชาวเน็ตในแพลตฟอร์ม เสี่ยวหงซู (Xiaohongshu) แชร์ประสบการณ์ว่า ข้าวราดแกงกระหรี่ขึ้นราคาจาก 175 บาท เป็น 250 บาท น้ำดื่มจาก 40 บาท ขึ้นราคาเป็น 45 บาท ค่านวดไทยจากชั่วโมงละ 200 บาท แพงขึ้นเป็น 250 บาท ค่าที่พักเพิ่มเป็น 2-3 เท่า เช่น ห้องเล็กๆ ที่เคยพักคืนละ 1,000 บาท ขึ้นเป็น 2,000 บาท ค่ารถแพงขึ้นอย่างชัดเจนทั้งมอเตอร์ไซค์ ตุ๊กตุ๊ก แท็กซี่ ราคาเริ่มต้นที่ 200 บาท เป็นต้น
นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งบอกเหตุผลที่ไปเที่ยวไทยเพราะอยู่ใกล้ ราคาสินค้าบริการโอเคมาก เดี๋ยวนี้กลับแพงระยับ ค่าครองชีพกำลังสูงขึ้นพอๆ กับซันย่า (แหล่งท่องเที่เมืองซันย่า มณฑลไหหลำ)
นอกจากนี้ ยังมีคลิปนักท่องเที่ยวจีนเดินสำรวจราคาข้าวของและบริการในตลาดกลางคืนในวันเสาร์ที่จังหวัดเชียงใหม่...โปรยข้อความว่า “ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศไทยเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว พุ่งเป้าหลอกต้มตุ๋นนักท่องเที่ยวจีน ค่าครองชีพกำลังจะแซงหน้ายุโรปและอเมริกาแล้ว อย่าไปเลย”
ในคลิปได้ฉายภาพป้ายราคาสินค้าตามร้านค้าต่างๆ...เช่น ผลิตภัณฑ์ทำจากกะลามะพร้าวที่วางสบู่ 1 อัน 35 บาท 3 อัน 100 บาท ผ้าคลุมไหล่ผืนละ 100 บาท ข้าวเหนียวมะม่วงชุดเล็ก 40 บาท ชุดใหญ่ 60 บาท มะพร้าวอ่อนลูกละ 40 บาท นวดหนึ่งชั่วโมง 180 บาท ครึ่งชั่วโมง 100 บาท น้ำส้มคั้นสดๆจากผลส้ม 35 บาท เสื้อตัวละ 100 บาท ไก่ย่าง 40-70 บาท อาหารเสียบไม่ปิ้งหมาล่าไม้ละ 10 บาท ข้าวปั้นญี่ปุ่น ชิ้นละ 10 บาท
และพูดปิดท้ายคลิปว่า “ผู้ชมดูราคาสินค้าแล้วก็พิจารณาเอาเองละกันว่าแพงไหม?”
คลิปสำรวจราคาสินค้าในตลาดกลางคืนในเชียงใหม่ชิ้นนี้เป็นตัวอย่างการทำคลิปแบบพูดพลิกลิ้นของบรรดาชาวเน็ตจีน โดยจะเปิดเรื่องด้วยข้อความตามน้ำตามกระแสเพื่อเรียกร้องความสนใจคนดู เหมือนกับเอาเรื่องที่ชาวบ้านกำลังอินกระแสมาตีปี๊บให้ดังๆ มิฉะนั้นคนจะไม่ดู หลังจากนั้นก็ปิดท้ายชี้ชวนคนเห็นว่า “จริงๆ ของไม่ได้แพง”
ในรายงานข่าวของกลุ่มค่ายสื่อหลักในจีน มีคอมเมนต์จำนวนหนึ่งที่พาดพิงมาถึงเรื่องไต ชาวเน็ตคนหนึ่งเขียนว่า “ราคาไตก็แพงขึ้น” อีกคอมเมนต์ว่า “เรื่องค่าครองชีพเรื่องเล็ก ที่สำคัญคือ ไต มีไม่พอจะให้ตัดแล้ว” อีกคอมเมนต์ว่า “พวกที่ไปไทยตอนนี้ไม่กลัวตายกันเลยหรือ บางคนไปแล้วไม่ได้กลับ โดนขโมยไต อย่าไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ไปฟรีๆก็ไม่ไป”
ประเด็น “สวรรค์แหล่งท่องเที่ยวไทยร่วงลงนรกอันน่าสยดสยอง” กระหึ่มโลกโซเชียลจีน
กระแส “ไทยกลายเป็นถิ่นอันตรายสยดสยองเพราะเสี่ยงต่อการล่อลวงผ่าตัดควักไต” นี้พุ่งกระฉูดดังระเบิดบนแพลตฟอร์มคลิปสั้นติ๊กต็อก ที่จีนเรียกกันว่า โต่วอิน (Douyin)
ในช่วงวันสองวันมานี้บทความชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่บนเว็บไซต์สื่อจีนได้เจาะประเด็นอินฟลูเอนเซอร์จีนปล่อยคลิปเตือนว่าไทยเป็นแดนอันตรายเสี่ยงถูกผ่าตัดควักไตไม่ได้กลับบ้าน มาดูกันว่า บทความชิ้นนี้เขียนว่าอย่างไรบ้าง
“แก็งคอลเซ็นเตอร์ ล่อลวงผู้หญิง ลักพาตัว ค้าอวัยวะเถื่อน ค้ายาเสพติด...”
เพียงชั่วข้ามคืน...กระแสพูดคุยบนโลกโซเชียลจีนได้ผลักไทยจากแท่น “สวรรค์แหล่งท่องเที่ยวลงสู่นรกอันน่าสยดสยอง” เรื่องราวทั้งหมดนี้มาจากการปล่อยคลิปปูดเรื่องลับของอินฟลูเอนเซอร์จีนที่ป้ายสีดำมืดให้ภาพลักษณ์ไทย
ในบทความระบุว่า วันนี้ หัวข้อพูดคุยเรื่อง “ความปลอดภัยในการท่องเที่ยวไทย” ได้พุ่งพรวดขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่งของ ‘เวยปั๋ว’ โดยเรื่องนี้มีต้นตอมาจากคลิปของผู้ใช้ชื่อบัญชี “ซินอีหลินหลิน” “(⼼医林霖) (ชื่อนี้ขอแปลตามตัวอักษรว่า “หมอโรคจิตหลินหลิน”) เผยแพร่บนแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น Bilibili เนื้อหาคลิปมีความยาวถึง 30 นาที ได้เตือนสาวจีนอย่าไปเที่ยวเมืองไทยคนเดียว มิฉะนั้นแล้วอาจจะไปแล้วไปลับไม่ได้กลับ
ข้อความบนเว็บไซต์ในจีนอีกรายหนึ่งระบุว่า หลังจากที่คลิปชิ้นนี้ว่อนในโลกโซเชียลแดนมังกรได้ 2-3 วัน เรื่องราวขโมยไตจากคลิปนี้ได้สร้างความสยดสยองจนเกิดกระแสคืนตั๋วเครื่องบินของผู้ที่วางแผนไปท่องเที่ยวประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เรื่องน่าสยดสยองชวนขนลุกขนพองนี้มาถูกปั้นแต่งขึ้นมาจากไหน...
เมื่อไม่นานมานี้ ร้านอาหารแห่งหนึ่งในไทยที่ระดมชายหนุ่มหล่อเหลามาเป็นกองทัพเพื่อคอยปรนนิบัติลูกค้าดังระเบิดเถิงเทิงบนโลกโซเชียลแดนมังกร พวกชาวเน็ตจีนเรียกร้านอาหารนี้ว่า “ร้านอาหารนายแบบ” จนเกิดกระแสสาวๆ แดนมังกรแห่มาเที่ยวไทยเพื่อที่จะมาที่ร้านอาหารนายแบบนี้ ต่อมามีการปล่อยคลิปเตือนว่า “เมืองไทยอันตรายมาก” “ร้านอาหารนายแบบ” นั่นไม่ใช่สวรรค์บันเทิงเริงรมย์ของสาวๆ ที่แห่แหนไปที่นั่น แต่มันเป็นกับดักหรือฉากบังหน้าล่อบรรดาสาว (จีน) ไปเที่ยวไทย จากนั้นก็ลักพาตัวไปให้พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เมื่อคลิปของนาย “หมอโรคจิตหลินหลิน” ถูกปล่อยออกไป พวกอินฟลูเอนเซอร์ก็พากันออกมาเล่าประสบการณ์ร้ายๆ ที่พวกเขาพบเจอในไทยกันเกรียวกราว
จนถึงกลางสัปดาห์นี้ (22 มี.ค.) คลิปเตือนเมืองไทยอันตรายของนาย “หมอโรคจิตหลินหลิน” ซึ่งตั้งหัวข้อโพสต์ชิ้นนี้ว่า “กองทัพไซเบอร์อเมริกาหันมาเจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” โกยยอดวิวบนแพลตฟอร์ม Bilibili ราว 68,0000 ครั้ง ในแพลตฟอร์มโต่วอินโกยยอดไลก์ทะลุ 2 ล้าน
อินฟลูเอนเซอร์บางคนเล่าว่า พวกแก๊งหลอกลวง แก๊งลักพาตัวในพม่า กัมพูชา ทำร้ายชาวจีนจำนวนมาก ตอนนี้ชาวจีนทั่วไปต่างรู้ถึงอันตรายในดินแดนเหล่านี้และไม่ไปที่นั่นกันแล้ว พวกแก๊งลักพาตัวต่างเบนเข็มมาที่ไทย เพราะไทยยังมีภาพลักษณ์ดีในหมู่ชาวจีน แต่ตอนนี้ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศไทยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ไปๆ มาๆ กระแสขานรับคลิปเตือนเมืองไทยอันตรายก็ลุกลามราวไฟไหม้ป่าไปยังแพลตฟอร์มเวยปั๋ว โต่วอิน เสี่ยวหงซู ด้วยเหตุนี้เองไทยที่เคยเป็นสวรรค์แหล่งท่องเที่ยวพักผ่อน ก็กลายเป็นนรกเสี่ยงอันตรายที่น่าสะพรึงกลัว
ไปเที่ยวไทยแล้วอาจจะโดน “ล้วงไต” จริงหรือ?
เอเยนซีท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวพูดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร
ต่อภาพลักษณ์ไทยที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันนี้ บางคนมองว่าเป็นไปได้ว่ามันอาจมาจากการสร้างกระแสของพวกเน็ตไอดอล หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่หิวกระหายแสง
ก่อนหน้านี้ เคยมีหญิงจีนคนหนึ่งแต่งงานกับชาวแอฟริกัน ลุกขึ้นมาสร้างเรื่อง “หายตัวไปอย่างปริศนา” จนกลายเป็นประเด็นร้อนดึงดูดความสนใจไปทั่วโลกไซเบอร์ ต่อมา ก็ปรากฏตัวโผล่ออกมาเอง กลายบอกว่านางก็ประสบความสำเร็จในการดันตัวเองขึ้นเป็นคนดัง
แต่ครั้งนี้พวกอินฟลูเอนเซอร์หลายคนออกมาประสานเสียง เกิดปฏิกิริยาขนาดใหญ่ทำให้หลายคนสงสัย ตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยในการมาเที่ยวไทย?
ขณะนี้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยก็ออกมาแจงข้อเท็จจริง ต่อต้าน “กระแสกุเรื่องเท็จปั้นน้ำเป็นตัวของพวกอินฟลูเอนเซอร์จีนกลุ่มหนึ่ง”!
“ควักไตไม่มีหรอกนะ ควักสมองน่ะมี”
ล่าสุด กลุ่มสื่อจีนได้เผยแพร่รายงานสัมภาษณ์ชาวจีนโพ้นทะเลแซ่เหมย วัย 47 ปี ผู้อาศัยในกรุงเทพฯ มานาน 8 ปี เกี่ยวกับกระแสข่าวลือแก๊งควักไตในไทย เขาตอบว่า “ควักไตไม่มี...มีแต่ควักสมอง”
ทั้งนี้ ควัก ‘สมอง’ ที่นายเหมยอ้างถึงหมายถึง “อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มหนึ่ง” ที่ป้ายสีดำไทยแบบไม่ใช้สมองคิด อีกทั้งชาวเน็ตจำนวนหนึ่งที่ขานรับช่วยกระพือข่าวลือโดยไม่คิดค้นหาหลักฐาน หรือความจริง
เขายังบอกกับผู้สื่อข่าว่า ข่าวลือเรื่องควักไตเกิดขึ้นในพม่าก่อนหน้านี้เมื่อราวปีกว่ามาแล้ว ประมาณช่วงเดือน ก.พ.ปีนี้ก็มีข่าวลือทำนองนี้ในไทย แต่นายเหมย ยืนยันว่าเขาไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ในกรุงเทพฯ”
ในวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ภายในรัฐบาลไทยได้จัดประชุมเรื่องการโต้ตอบ “กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ในจีนที่ป้ายสีดำมืดให้กับภาพลักษณ์ไทย” โฆษกรัฐบาล อนุชา บูรพชัยศรี แถลงว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วิตกกังวลเรื่องกระแสข่าวลือป้ายสีเมืองไทยบนโลกโซเชียลจีนและไทย และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบต้นตอที่มาที่ไปของเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด และแถลงชี้แจงข้อเท็จจริง
ด้านการท่องเที่ยวไทยได้โพสต์ข้อความในบัญชีเวยปั๋วขององค์กร “ผู้มีสติปัญญาไม่หลงเชื่อข่าวลือ...ยังไม่มีใครถูกหลอกไปควักไต ก็มาโดนพวกอินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่มีความรู้มืดบอดปัญญาควักเอาสมองไปแล้ว”
ที่มาข่าว
去泰国男模店看个帅哥,还不至于被“嘎腰子”
去泰国男模餐厅会被拐走“嘎腰子”?当地华人:有“嘎脑子”的
泰国物价狂涨!游客表示曾经的穷游天堂变成了去不起的地方(今日头条)
คลิป泰国已经不是以前的泰国了。专坑中国游客,
物价赶超欧美千万别来