ช่วงเช้าวันเสาร์ (11 มี.ค.) สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้ลงนามคำสั่งประธานาธิบดี เพื่อแต่งตั้ง “หลี่ เฉียง”เป็นนายกรัฐมนตรีจีน ณ การประชุมครั้งที่ 1 ของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ชุดที่ 14 ซึ่งกำลังดำเนินการประชุมอยู่ในปัจจุบัน
รายงานระบุว่า หลี่ได้รับคะแนนเสียง 2,936 เสียง โดยมีคะแนนเสียงคัดค้าน 3 เสียง และงดออกเสียง 8 เสียง ตามจำนวนที่ฉายบนหน้าจอภายในมหาศาลาประชาชนในใจกลางกรุงปักกิ่ง
หลี่ วัย 63 ปี ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า เป็นนักบริหารที่เน้นการปฏิบัติจริงและเป็นมิตรกับธุรกิจ
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของจีนเข้ารับตำแหน่งท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนกับชาติตะวันตกเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ รวมถึงความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ เพื่อปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีที่สำคัญของจีน และในขณะที่บริษัทระดับโลกหลายแห่งกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนเพื่อป้องกันความเสี่ยง
หลี่ เฉียง เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ไม่เคยรับตำแหน่งในรัฐบาลกลางมาก่อน ซึ่งหมายความว่าเขาอาจเผชิญกับการเรียนรู้ใหม่ที่ยากลำบากในช่วงเดือนแรกๆ ของการทำงาน
หลี่เคยเป็นเลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้ เป็นสมาชิกกรมการเมืองในชุดการนำของสมัชชา 19 เขาทำงานใกล้ชิดกับสี มาตั้งแต่ช่วงต้น 2543 ในปี 2547 หลี่ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป (secretary general) ของคณะกรรมการพรรคในมณฑลเจ้อเจียง ทำงานใต้บังคับบัญชาของสี จนกระทั่งปี 2550
นับจากปีที่สี ขึ้นกุมอำนาจใหญ่สุดของพรรคในปี 2555 หลี่ ได้รับมอบหมายบทบาทสำคัญในเซี่ยงไฮ้
จนกระทั่งในปี 2560 เขาขึ้นมานั่งเก้าอี้เลขาธิการใหญ่พรรคประจำมหานครเซี่ยงไฮ้ ก่อนหน้านี้ หลี่ ถูกวิจารณ์ระงมเรื่องใช้มาตรการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้นาน 2 เดือน
อย่างไรก็ดี เป็นที่จับตากันอย่างกว้างขวางอีกว่า หลี่ เป็นหนึ่งในตัวเก็งแถวหน้าที่จะเป็นทายาทผู้นำของสี
เศรษฐกิจจีนเติบโตเพียงร้อยละ 3 ในปีที่แล้ว ซึ่งในปี 2566 ปักกิ่งตั้งเป้าการเติบโตที่ประมาณร้อยละ 5 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ โดยภารกิจสูงสุดของหลี่ในปีนี้คือต้องเอาชนะเป้าหมายดังกล่าวให้ได้ โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง หรือก่อหนี้เพิ่มพูน