โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ช่วง 1 เดือนกว่าที่ผ่านมา สื่อไทยหลายสำนักให้ความสนใจและจับตานักท่องเที่ยวจีนที่กำลังจะทะลักเข้าไทยหลังจากที่จีนประกาศปลดล็อกจากโควิด-19 ในช่วงก่อนตรุษจีน ในขณะที่ผู้เขียนมองว่านักท่องเที่ยวจีนจะมาเที่ยวไทยอย่างหนาแน่นเหมือนก่อนช่วงโควิดแน่นอน แต่น่าจะเป็นลักษณะแบบเส้นกราฟที่ค่อยๆ ทยอยเพิ่มขึ้น เพราะยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนจีนไม่ทะลักออกไปเที่ยวทันทีหลังจากที่เพิ่งผ่านการระบาดโควิด-19 ระลอกใหญ่ในประเทศ ปัจจัยแรกคือ ยังหวาดกลัวโควิดอยู่และยังต้องค่อยๆ ปรับตัว ประการที่สองคือไฟลต์บินระหว่างประเทศยังไม่กลับมาบินเยอะเหมือนก่อนโควิด และราคาตั๋วยังแพงอยู่มาก ประการที่สามคือ ตรุษจีนปีนี้เป็นปีแรกหลังจากการปลดล็อกการแช่แข็งการเดินทางในประเทศนาน 3 ปี ทำให้ในปีนี้คนจีนส่วนใหญ่เลือกเดินทางกลับบ้านฉลองวันตรุษจีนกับครอบครัว
ผู้เขียนได้คุยกับคนขับแท็กซี่ในปักกิ่งท่านหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า “ตัวเขาเองและครอบครัวติดโควิดในช่วงต้นเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว แล้วก็ไม่รู้ติดมายังไง ในขณะนั้นเพื่อนๆ ในกลุ่มแชตก็ติดโควิดในช่วงเวลาไล่ๆ กันทั้งที่ไม่ได้เจอกัน แสดงว่าทั้งประเทศจีนที่มีการระบาดทั่วหน้าในช่วงเวลานั้น ต่างประเทศใช้เวลาถึง 3 ปีตั้งแต่โรคเริ่มแพร่ระบาดจนเข้าสู่ภาวะปกติ แต่จีนใช้เวลาแค่ 1 เดือน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!” ผู้เขียนเองก็รู้สึกเห็นด้วยกับแท็กซี่ท่านนี้ ช่วงก่อนตรุษจีนเป็นช่วงที่คนจีนทั้งประเทศติดโควิด-19 กันถ้วนหน้าจริงๆ และเพียง 1 เดือนผ่านไปราวกับโรคโควิดได้หายไปแล้ว และประชาชนส่วนใหญ่กลับมาใช้ชีวิตอย่างเช่นปกติ
ร้านอาหารดังหลายร้านมีลูกค้ากลับมาต่อแถวยาวเหยียด การเดินทางเที่ยวในประเทศกลับมาคึกคักขึ้นมาก โดยในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนประมาณ 1 อาทิตย์ กระทรวงคมนาคมจีนออกประกาศถึงสถิติการเดินทางของประชาชนทางถนนในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ โดยในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 20-27 ก.พ. จำนวนรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนทั่วประเทศเฉลี่ย 4.5 ล้านคันต่อวัน เทียบกับช่วงปี 2019 ก่อนการระบาดของโควิดเพิ่มขึ้น 15%
ช่วงวันหยุดตรุษจีน 7 วัน (20-27 ก.พ.) จีนมีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 3.7 แสนล้านหยวน ถึงขนาดข่าวในประเทศจีนมีการพาดหัวข่าวว่า “นักท่องเที่ยวจีนอัดอั้นจนจะเป็นบ้า” และจากการปลดล็อกในครั้งนี้ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ทั่วประเทศจีน รวมทั้งโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศกลับมาคึกคักและฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ในด้านของรายได้ของโรงหนังทั่วประเทศจีนดีขึ้นมากเพราะไม่มีข้อจำกัดของการเข้าไปดูหนังและเว้นระยะห่างอีกต่อไป ในช่วงตรุษจีนมีเงินแพร่สะพัดในส่วนของรายได้ของโรงหนังทั่วประเทศมากถึง 6,800 ล้านหยวน
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศจีนคึกคักก่อนเพื่อน ปีนี้คนจีนแห่ไปเที่ยวที่มณฑลไห่หนัน หรือเกาะไหหลำเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงวันหยุดตรุษจีนแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของเกาะไหหลำรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 6 แสนคน โรงแรมจองเต็มทุกที่ แม้แต่ห้องพักที่คืนละหลายแสน ก็ถูกจองจนแทบไม่เหลือ ชาวจีนที่ไปเที่ยวเกาะไหหลำนอกจากเล่นทะเลแล้ว อีกกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือการชอปปิ้งสินค้าปลอดภาษี จากสถิติของร้านค้าปลอดภาษีระบุว่า เพียงแค่ 5 วันแรกของวันหยุดตรุษจีนยอดขายของร้านสินค้าปลอดภาษีทั่วเกาะไหหลำสูงกว่า 1.7 พันล้านหยวน และมีรายงานข่าวว่า มีการกำหนดโควตาการชอปปิ้งสินค้าปลอดภาษีบนเกาะไหหลำ โดยนักท่องเที่ยวจีนหลายคนที่มีโควตาสามารถซื้อสินค้าได้คนละ 1 แสนหยวน หรือประมาณ 5 แสนบาทก็ไม่พอซื้อสินค้าที่อยากได้ บางครอบครัวใช้โควตาชอปปิ้งของสมาชิกในครอบครัวจนเต็มเพดาน เสมือนว่าชอปปิ้งไม่ครบโควต้ากลับบ้านไม่สบายใจ
ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวจีนลืมตาอ้าปากได้หลังจากรออย่างขมขื่นมากว่า 3 ปี หลายร้านค้าที่ประคองตัวไม่รอดก็ต้องปิดกิจการไปก่อน หลายร้านกัดฟันมาจนวันที่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนร้านอาหารดังหลายร้านในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ คนไปต่อแถวกันยาวเหยียด บางคนรอแถวไม่ไหวกลับที่พักต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน ในช่วงตรุษจีนร้านอาหารดังในเมืองท่องเที่ยวบางร้านคิวยาวถึง 4,500 คิว มีต่อแถวหลัก 1,000 เพื่อรอกินก็มีหลายร้าน หลายคนได้รับบัตรคิวร้านอาหารก็แชร์ในโซเชียลของตัวเองบางคนพูดติดตลกว่า “ต่อแถวชาตินี้กินกันชาติหน้า” ชาวเน็ตบางคนบอกว่าร้านรวงต่างๆ พวกนี้ “ปิดไป 3 ปี เปิดมาวันเดียวคืนทุนเท่าที่ปิดไป” เป็นต้น
จากสถิติของแพลตฟอร์มเหมยถวน รายงานว่าช่องก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน 1 อาทิตย์ ปริมาณผู้คนที่ไปกอนอาหารที่ร้านอาหารทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 53% และเมืองเซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองที่คนออกไปกินอาหารที่ร้านคึกคักที่สุด ชาวจีนหลายคนมองว่ารัฐบาลเลือกปลดล็อกมาตรการควบคุมโควิด-19 ก่อนเทศกาลตรุษจีนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะจากการปลดล็อกดังกล่าวทำให้การโยกย้ายเดินทางของประชาชนในประเทศและต่างประเทศสะดวก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องที่ต่างๆ เป็นอย่างมาก ปีนี้การเดินทางของประชาชนจีนในช่วงตรุษจีนฟื้นกลับมา 88% เทียบกับก่อนโควิด-19
ในปักกิ่งมีนักท่องเที่ยวต่างเมืองเข้ามาเที่ยวอย่างคึกคัก พระราชวังต้องห้าม และกำแพงเมืองจีนนักท่องเที่ยวแน่นขนัด ร้านเป็ดย่างปักกิ่ง สาขาที่ติดกับพระราชวังต้องห้ามตั้งแต่ก่อน 5 โมงเย็นมีคิวต่อแถวยาวถึง 1,123 คิว โดยพนักงานร้านเป็ดย่างปักกิ่งบอกกับสื่อจีนที่ไปสัมภาษณ์ว่า “คนมากินกันเยอะขนาดนี้ก็เพิ่งเคยพบครั้งนี้ครั้งแรก” ในบริเวณใกล้ๆ อย่างถนนคนเดินหวางฝู่จิง ร้านอาหารหลายร้านคนต่อคิวกินกันหลักหลายร้อย
ดังนั้น ในเทศกาลตรุษจีนปีนี้สำหรับคนจีนไม่ใช่แค่การปลดล็อกเรื่องของมาตรการป้องกันโควิด-19 แต่ยังหมายถึงการปลดล็อกข้อจำกัดในทุกด้าน ความต้องการในตลาดหลายด้านกลับมา ธุรกิจไปต่อได้และรัฐบาลกลางยังคงนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศต่อไป
ด้านของเศรษฐกิจจีนในปี 2023 นี้ นักเศรษฐศาสตร์จีนหลายคนประเมินความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจทั้งปีของจีนอาจจะกลับมาเติบโตที่อัตรา 5-6 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากฐานเศรษฐกิจของประเทศยังแข็งแกร่งอยู่และฟื้นได้เร็ว ดูจากสถิติของเศรษฐกิจภาคประชาชนหลังจากการปลดล็อก ทั้งนี้แนวทางการเติบโตของจีนยังคง “การเติบโตอย่างมั่นคงและค่อยเป็นค่อยไป”
ความท้าทายของรัฐบาลในปีนี้คือภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ล้มระเนระนาดตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ประชาชนหมดความเชื่อถือกับการพัฒนาของภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้เสียจำนวนมากของผู้ประกอบการและการเข้าไปพยุงและช่วยเหลือให้ประชาชนซื้อบ้านและได้บ้าน ปัญหานี้ยังคงต้องจับตาต่อไปเพราะภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นภาคใหญ่ และใช้เงินมหาศาล ระยะเวลาการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่วันสองวันจะแก้ได้ และภาคอสังหาริมทรัพย์จีนยังมีปัญหาฟองสบู่ที่ยังสุ่มเสี่ยงจะแตกได้ในอนาคต เพื่อนคนจีนหลายคนของผู้เขียนบอกว่า ขยาดการซื้อบ้านเพื่อลงทุนแล้ว และวันนี้มีแค่ที่พักอาศัยของตัวเองก็เพียงพอแล้ว
อีกความท้าทายสำคัญของเศรษฐกิจจีนในปีนี้คือ ธุรกิจ SMEs หดตัว หนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศยังสูงอยู่มาก อัตราการว่างงานทั่วประเทศที่สูง อัตราการเกิดใหม่ต่ำและสังคมผู้สูงอายุ สุดท้ายคือความเหลื่อมล้ำในสังคมจีนที่ยังสูงอยู่มาก
ผู้เขียนมองว่าถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีนจะออกมาให้ความมั่นอกมั่นใจต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ความมั่นใจของภาคประชาชนในเรื่องปากท้องและการงานยังไม่กลับมา 100 เปอร์เซ็นต์ ประชาชนชั้นกลางจีนยังคงระมัดระวังการใช้ชีวิตและการใช้จ่ายกันอยู่ เพราะอย่างที่เห็นๆ โรคระบาดมาทีเดียวแบบไม่ได้ตั้งตัว ส่งผลกระทบกันไปยาวๆ 3-4 ปี