สำนักข่าวซินหัว และสื่อของรัสเซียรายงานข่าว จีนจี้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาชี้แจงต่อชาวโลก หลังจากซีเรียแฉ พบรถถังกว่าครึ่งร้อยลักลอบขนน้ำมันดิบในซีเรียไปให้ฐานทัพมะกันในอิรัก
การขนน้ำมันอย่างโจ๋งครึ่มของสหรัฐฯ ถูกเปิดโปงโดย สำนักข่าวซานา ของรัฐบาลซีเรีย เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า มีขบวนรถถังจำนวน 53 คัน ขนน้ำมัน ซึ่งขโมยจากซีเรีย ออกเดินทางจากจังหวัดอัลฮะซะกะห์ ไปยังฐานทัพของสหรัฐฯ ในอิรัก พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดในซีเรีย ซึ่งสหรัฐฯ ให้การหนุนหลังได้เข้าร่วมปฏิบัติการ นอกจากนั้น รถบรรทุกอีก 60 คันยังลักลอบขนน้ำมันและข้าวสาลีเข้าไปในอิรักเมื่อต้นเดือน
สื่อมวลชนยิงคำถามนายหวัง เหวินปิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ระหว่างการแถลงข่าวตามปกติเมื่อวันอังคาร (17 ม.ค.)
“สหรัฐฯ ต้องตอบคำถามเรื่องที่ขโมยน้ำมันกับชาวซีเรียและประชาคมโลก” เขาตอบในทันที
ตามความเห็นของเขานั้น การปล้นน้ำมันและอาหารเท่ากับเป็นการเหยียบย่ำสิทธิในการมีชีวิตของชาวซีเรียอย่างเหี้ยมโหดในช่วงฤดูหนาว
“เราตกตะลึงกับการปล้นสะดมซีเรียอย่างโจ่งแจ้งและชั่วร้ายของสหรัฐฯ …การโจรกรรมเช่นนี้ทำให้วิกฤตการณ์ด้านพลังงานและภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมในซีเรียเลวร้ายย่ำแย่ไปอีก” นายหวังกล่าว พร้อมกับหยิบยกข้อมูลของรัฐบาลซีเรีย ที่ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 กองกำลังสหรัฐฯ ซึ่งเข้ายึดครองดินแดนในซีเรียได้ลักลอบขนน้ำมันออกไปถึงกว่าร้อยละ 80 ของที่ซีเรียผลิตได้ในแต่ละวัน
สหรัฐฯ ถูกโฆษกจีนผู้นี้สับเละว่า มีความละโมบในการลักขโมยทรัพยากรในซีเรีย ที่น่าตกตะลึงพอๆ กับความเอื้ออารี ในการหยิบยื่นความช่วยเหลือด้านการทหารจำนวนหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ ไม่ว่าสหรัฐฯ จะเป็นผู้ให้ หรือผู้รับ ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ชาติอื่นเกิดความวุ่นวายและหายนะ สหรัฐฯ เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เพื่อความเป็นเจ้าโลก และทั้งหมดนี้ก็คือผลของ “ระเบียบโลกซึ่งอยู่บนพื้นฐานของกติกา” อย่างที่สหรัฐฯ ชอบพร่ำพูดกับนานาประเทศนั่นเอง
ปัจจุบันซีเรียบอบช้ำจากสงครามกลางเมือง ทหารสหรัฐฯ ถูกส่งมาซีเรียครั้งแรกเมื่อปี 2557 สมัยของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ในลักษณะของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ก่อนจะส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้ามาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีต่อมา โดยฝังตัวกับนักรบชาวเคิร์ด ซึ่งยึดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อุดมไปด้วยแหล่งน้ำมัน ถึงแม้สหรัฐฯ อ้างว่า เพื่อช่วยปราบปรามกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ซึ่งรุกรานดินแดนอิรักและซีเรียในขณะนั้น แต่สหรัฐฯ ก็เข้าสอดแทรกสงครามกลางเมืองในซีเรีย โดยส่งอาวุธนับไม่ถ้วนให้ฝ่ายกบฏ ที่หวังโค่นล้มรัฐบาลในกรุงดามัสกัส
มาถึงรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ลดระดับปฏิบัติการ โดยบอกอย่างเปิดเผยว่า สหรัฐฯ จะคงทหารบางส่วนไว้ในซีเรีย “เพื่อน้ำมัน” รัฐบาลทรัมป์ยังให้การอนุมัติข้อตกลงระหว่างบริษัทพลังงานเมกากับกองกำลังชาวเคิร์ด ในการพัฒนาและส่งออกน้ำมันดิบ แม้ข้อตกลงฉบับนี้ถูกพับไปในรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน แต่รัฐบาลซีเรียก็ยังคงยืนยันว่า สหรัฐฯ ปล้นชิงทรัพยากรของซีเรีย และการคงทหารสหรัฐฯ ราว 900 นายไว้ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย