ยังมีแพทย์สงครามผู้หนึ่ง ทำหน้าที่รักษาเหล่าทหารที่บาดเจ็บในสมรภูมิรบมานับไม่ถ้วน ทหารหลายรายได้รับการรักษาจากแพทย์สงครามจนหายดี แต่กลับไปเสียชีวิตกลางสนามรบก็มีไม่น้อย
เหตุการณ์เหล่านี้วนเวียนไป จนกระทั่งนานวันเข้าแพทย์สงครามค่อยๆ สั่งสมความทุกข์ขึ้นในจิตใจจนถึงที่สุด เขาเอาแต่ครุ่นคิดว่า "หากทหารที่ตายในสนามรบเหล่านั้นชะตาขาดอยู่แล้ว เหตุใดต้องมาให้ข้ารักษาจนหายก่อนค่อยไปตายอีก และหากข้ารักษาคนเจ็บจนหายดีแต่สุดท้ายเขาต้องกลับไปตายในสงคราม เช่นนั้นวิชาแพทย์ของข้าจะมีความหมายอันใด" เมื่อคิดถึงตอนนี้ เขาจึงรู้สึกว่าการเป็นแพทย์สงครามนั้นช่างไร้ค่าสิ้นดี
แพทย์สงครามไม่อาจปฏิบิติหน้าที่ต่อไปได้ จึงตัดสินใจออกเดินทางขึ้นเขาไปพบอาจารย์เซน และบอกเล่าถึงความทุกข์ใจของตนเอง ทั้งยังถามอาจารย์เซนว่า หากเหตุการณ์ยังวนเวียนอยู่เช่นนี้ต่อไปเขายังจะดำรงอาชีพเป็นแพทย์สงครามไปทำไม?
เขารั้งอยู่บนยอดเขากับอาจารย์เซน ผ่านวันเวลาเนิ่นนานในการหาคำตอบ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาจึงได้กลับลงเขามาเป็นแพทย์สงครามเช่นเดิม เนื่องจากเขาค้นพบคำตอบของคำถามนี้แล้ว
แพทย์สงครามกล่าวกับตนเองว่า "ที่ข้าต้องทำหน้าที่ต่อไป เนื่องเพราะข้าคือแพทย์ผู้หนึ่งอย่างไรเล่า"
ปัญญาเซน : สรรพสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติแห่งเหตุปัจจัย อยู่กับปัจจุบัน มองสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นมิใช่ตามที่ตนอยากหรือไม่อยากให้เป็น
โดย ดวงพร ลิ้มทองกุล
ภาพประกอบ พระโพธิธรรมหันหน้าเข้ากำแพง (达摩面壁图) โดย ซ่ง ซี่ว์ จิตรกรจีนยุคราชวงศ์หมิง
*พระโพธิธรรม หรือตั๊กม้อ คือ พระภิกษุชาวอินเดีย ผู้นำพุทธศาสนามหายาน นิกายเซน มาเผยแพร่ในจีน ท่านตั๊กม้อเดินทางมาถึงประเทศจีนในปี ค.ศ.527 (พ.ศ.1070)