สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงปักกิ่งและสถานกงสุลสหรัฐฯ ในนครเซี่ยงไฮ้จำกัดการให้บริการเฉพาะหนังสือเดินทางและบริการกงสุลฉุกเฉิน ในขณะที่สถานกงสุลสหรัฐฯ ในกว่างโจว เสิ่นหยาง และอู่ฮั่น จะให้บริการกงสุลฉุกเฉินเท่านั้น จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม
การประกาศดังกล่าวระบุว่า การระงับการให้บริการเกิดจาก “ผลกระทบด้านปฏิบัติการที่เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 ทั่วประเทศจีน”
ด้านนายแพทริเซีย ฟลอร์ เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศจีน แสดงความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพทางการแพทย์ของจีนและเตือนว่า การเปลี่ยนนโยบายอย่างกะทันหันทำให้ประชาชนไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์
ปัจจุบัน เมืองใหญ่รวมถึงปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ธุรกิจหลายแห่งประสบปัญหาขาดแคลนพนักงานเนื่องจากพนักงานลาป่วย
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จีนมีเตียงผู้ป่วยหนัก (ICU) 10 เตียงต่อประชากร 100,000 คน เทียบกับเกือบ 35 เตียงในสหรัฐฯ ปัจจุบัน ผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการและไม่รุนแรงได้รับการแนะนำให้กักตัวที่บ้าน ในขณะที่ชุดทดสอบแอนติเจนและยารักษาโรคขาดตลาด
“Airfinity” บริษัทนักวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสุขภาพของอังกฤษประเมินว่า ชาวจีน 2.1 ล้านคนจะตกอยู่ในความเสี่ยง เนื่องจากการฉีดวัคซีนและการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหมู่ผู้สูงอายุมีอัตราต่ำ นอกจากนี้ สถาบันเพื่อการวัดและประเมินสุขภาพ (IHME) แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตันยังคาดการณ์ว่าจะมี “ผู้เสียชีวิตจำนวนมากในหมู่ประชากรอายุ 80 ปีขึ้นไปในจีน”
อัตราการฉีดวัคซีนของผู้สูงอายุชาวจีนอยู่ในระดับต่ำ มีเพียงร้อยละ 68.7 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 สามเข็ม ในขณะเดียวกัน มีเพียงร้อยละ 76.6 ของผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็ม และมีเพียงร้อยละ 40 เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น
ที่มา กลุ่มสื่อต่างประเทศ