สหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดสหรัฐฯ-แอฟริกา ครั้งแรกในรอบ 8 ปี กูรูแดนมังกรมองซัมมิตครั้งนี้ว่า สหรัฐฯ ก็แค่ต้องการแข่งขันกับจีน
การประชุมสุดยอดกับทวีปซึ่งเคยอยู่ที่โหล่ในการจัดลำดับความสำคัญของสหรัฐฯ มานานปี ได้เปิดฉากขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ระหว่างวันที่ 13-15 ธ.ค. ประธานาธิบดี โจ ไบเดน หยอดคำหวานกับผู้นำจาก 49 ชาติของแอฟริกาในพิธีเปิดการประชุมว่า สหรัฐฯ มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่สำหรับอนาคตของแอฟริกา พร้อมกับประกาศการทำข้อตกลงฉบับใหม่กับเขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา ซึ่งจะทำให้บริษัทอเมริกัน เช่น บริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก (General Electric Co) หรือผู้นำด้านไอที และระบบเครือข่ายทั่วโลกอย่างบริษัทซิสโก้ซิสเต็มส์ (Cisco Systems Inc.) เข้าถึงประชากร 1,300 ล้านคน และตลาดมูลค่า 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนั้น ไบเดนยังเตรียมจัดสรรงบประมาณราว 55,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอฟริกาในทุกด้าน รวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัล และพลังงานสะอาด ภายในกรอบระยะเวลา 3 ปี
แม้ไบเดน มิได้เอ่ยชื่อจีนออกมาตรงๆ ในการประชุม แต่สื่อตะวันตกระบุว่า ไบเดนกำลังหาทางใช้การทูตแบบการเจรจากันโดยตรง เพื่อแข่งขันด้านเศรษฐกิจและทวงคืนอิทธิพลจากจีน โดยเสนอทางเลือกที่ดีกว่าให้หุ้นส่วนในแอฟริกา
ด้านบรรดาผู้เชี่ยวชาญของจีน เช่น ศาสตราจารย์หลี่ ไห่ตง แห่งสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของมหาวิทยาลัยการต่างประเทศจีน หรือศาสตราจารย์ซ่ง เว่ย แห่งสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่ง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จีนไม่จำเป็นต้องวิตกอะไรกับการประชุมสุดยอดครั้งนี้ เพราะจีนเชื่อมั่นในมิตรภาพที่แข็งแกร่งและเติบโตเต็มที่กับแอฟริกา อันเป็นผลมาจากที่จีนได้มุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อผลประโยชนร่วมกัน มิใช่มุ่งใช้แอฟริกาเป็นเวทีแข่งขันกับสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญของจีนมองว่า สหรัฐฯ ขับเคลื่อนนโยบายแอฟริกา โดยอาศัยความคิดการทำสงครามเย็นแบบเก่าๆ และด้วยความรู้สึกต่อต้านจีนอย่างชัดเจน มากกว่าการมุ่งพัฒนาแอฟริกาอย่างแท้จริง นอกจากนั้น การค้าทาสในอดีต หรือความวุ่นวายที่สหรัฐฯ เคยก่อขึ้นในแอฟริกา เพื่อปล้นทรัพยากร ก็เป็นอดีตที่ยากจะลบเลือน
อีกทั้งคำมั่นสัญญาการจัดสรรงบประมาณมหาศาลที่ไบเดนให้ไว้ อาจเป็นแค่คำพูดสวยหรู เมื่อดูจากความขัดแย้งระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน ซึ่งจะทำให้การผ่านร่างงบประมาณในรัฐสภาเป็นงานหิน
นักวิชาการของแอฟริกาหลายคนวิจารณ์สหรัฐฯ เช่นกันว่า ไม่ได้สนใจการพัฒนาทวีปแอฟริกาอย่างแท้จริง แต่ใช้แอฟริกาเพื่อวางยุทธศาสตร์ด้านภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญจีนยังตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ ให้ความสนใจแอฟริกาน้อยที่สุดในแง่ยุทธศาสตร์โลก เพราะเป็นทวีปที่อยู่ห่างไกลเกินไป และตลาดก็ไม่น่าดึงดูดใจ
ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับแอฟริกาใกล้ชิดกันมากขึ้น นับตั้งแต่มีการประชุมฟอรั่มจีน-แอฟริกาในปี 2543 โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการริเริ่มสายแถบและเส้นทางของจีน (Belt and Road Initiative) ตอบโจทย์ความต้องการในการพัฒนาที่หลากหลายของแอฟริกา เกิดเส้นทางรถไฟ โรงพยาบาล และระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ มากมาย
การประชุมสุดยอดสหรัฐฯ-แอฟริกาจัดขึ้นครั้งแรกในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามาในปี 2557 โดยโอบามาให้คำมั่นจัดสรรเงิน 33,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับขยายฐานธุรกิจในแอฟริกา แต่การค้าระหว่างกันกลับไม่พัฒนารุดหน้าตามที่หวัง
ส่วนปักกิ่งนั้นจัดการประชุมระดับสูงกับผู้นำชาติทวีปแอฟริกาอย่างสม่ำเสมอทุก 3 ปี มานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว
จากการวิจัยของยูเรเซียกรุ๊ป บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจระบุว่า การค้าจีน-แอฟริกา มีมูลค่าสูงถึง 254,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 ขณะที่การค้าสหรัฐฯ-แอฟริกา มีมูลค่า 64,300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเห็นได้ว่ายังห่างกันหลายขุม
ข้อมูลจาก "Partisan struggle in Washington makes US commitments to Africa ‘laughable lip-service’" ในโกลบอลไทมส์ / "Biden says U.S. is 'all in' on Africa's future" ในรอยเตอร์