โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล นักวิชาการอิสระ
ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ตึงเครียดที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 เกิดขึ้นมากมายในจีน ทั้งข่าวการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ในหลายเมือง เหตุการณ์ไฟไหม้หมู่บ้านหนึ่งในซินเจียงและเกิดการสูญเสียขึ้นจนเป็นเหตุจุดชนวนการประท้วงนโยบายการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดเกินไป ในโซเชียลจีนเองเกิดปรากฏการณ์แชร์ข้อความ หรือบทความต่างๆ ที่แสดงความหมาย หรือสัญลักษณ์ความไม่พอใจกันแบบทางอ้อม เหตุการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการเดินขบวนบนท้องถนนเป็นจุดสนใจของคนทั่วโลก สำหรับตัวผู้เขียนเองรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะตั้งแต่พำนักอยู่ในจีนมา 10 กว่าปี ไม่เคยเจอหรือได้ยินเหตุการณ์การออกมาเดินประท้วงของประชาชนเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลมาก่อน ภาพเหตุการณ์การประท้วงสื่อภายในจีนไม่ได้มีการนำเสนอ แต่มีการแชร์กันบนโลกโซเชียลมีเดียว่าผู้ประท้วงถูกครอบงำโดยกลุ่มที่ยุยงจากต่างประเทศ
หลังจากเกิดเหตุการณ์ประท้วงสงบไป 2-3 วัน ผู้เขียนมองว่าทางรัฐบาลจีนได้มีการตอบสนองต่อกระแสสังคมค่อนข้างเร็ว โดยในวันที่ 29 พ.ย. กรมกำกับดูแลเพื่อควบคุมและป้องกันโรคระบาดแห่งชาติจีนได้แถลงข่าวที่มีเนื้อหาเป็นประเด็นสำคัญต่างๆ ดังนี้ หนึ่งการประณามพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่บริหารจัดการด้านโควิด-19 ที่ประสงค์จะระงับการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ใช้การดำเนินงานที่ผิดวิธี เช่น การเพิ่มมาตรการกันเองตามอำเภอใจหลายชั้นจนประชาชนได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไม่สอดคล้องกับนโยบายหลัก สองวิธีการทำงานและการสื่อสารกับประชาชนที่ยังทำได้ไม่ดี มีความแข็งกร้าวและใจร้อนนำมาสู่การขัดแย้งที่รุนแรง สามข้อมูลการระบาดของโรคโควิด-19 ถึงประชาชนไม่ทันท่วงที ไม่ครบถ้วน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาทางกรมกำกับดูแลเพื่อควบคุมและป้องกันโรคระบาดแห่งชาติจีนได้เปิดสายด่วนให้ประชาชนร้องเรียน เมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินนโยบายป้องกันโควิด-19 แบบตามอำเภอใจ อีกทั้งผู้ที่กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
วันที่ 1-2 ธ.ค.ที่ผ่านมา เมืองกว่างโจว เมืองเศรษฐกิจสำคัญทางตอนใต้ของจีนได้ประกาศปลดล็อกพื้นที่เสี่ยงสูงให้ประชาชนในเขตที่เสี่ยงสูงสามารถออกเดินทางไปทำงาน และเดินทางไปเขตอื่นอย่างอิสระได้ ยกเลิกการตรวจโควิด-19 แบบปูพรม จุดตรวจหลายแห่งปิดตัวลง ร้านอาหาร ฟิตเนสกลับมาเปิดทำการได้อย่างปกติ ผู้เขียนเองมีเพื่อนทำงานที่กว่างโจว ได้พูดคุยในประเด็นดังกล่าว เพื่อนของผู้เขียนยืนยันว่าขณะนี้ชีวิตประชาชนในเมืองกว่างโจวเริ่มกลับมาปกติแล้ว เว้นแต่การไปโรงพยาบาลยังต้องดูผลตรวจโควิดภายใน 48 ชั่วโมง การประกาศปลดล็อกจากโรคโควิด-19 ของเมืองกว่างโจวในคราวนี้สร้างความฮือฮาให้ชาวจีนทั้งประเทศ หลายคนจับตามองชีวิตของประชาชนที่กำลังจะกลับมาเป็นปกติในกว่างโจว โดยเฉพาะในงานแถลงข่าวของรัฐบาลท้องถิ่นเมืองกว่างโจว ในวันที่ 2 ธ.ค. ผู้นั่งแถลงข่าวทุกคนทยอยถอดหน้ากากต่อหน้าสื่อ คลิปดังกล่าวถูกแชร์และกลายเป็นประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียจีนว่า “สัญญาณชัดเจนแล้ว” บางคนถึงกับบอกว่า “น้ำตาจะไหล ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง พวกเราสู้กันมา 3 ปีเพื่อจะรอวันนี้”
หลังจากการประกาศปลดล็อกของเมืองกว่างโจว หลายเมืองสำคัญในจีนทยอยที่จะประกาศปลดล็อกเช่นกัน เช่น เจ้อเจียง เซินเจิ้น เจิ้งโจว เฉิงตู ปักกิ่ง โดยแต่ละเมืองจะมีรายละเอียดเงื่อนไขและอัตราความเร็วช้าในนโยบายการปลดล็อกที่ต่างกันไป อย่างเช่น ปักกิ่งได้ผ่อนปรนการใช้ผลตรวจโควิดภายใน 48 ชั่วโมงแล้ว แต่ยังระงับการนั่งรับประทานอาหารในร้าน การเข้าตึกสำนักงานและห้างร้านยังต้องดูผลตรวจโควิดภายใน 48 ชั่วโมงอยู่ ส่วนของเมืองเซี่ยงไฮ้ นโยบายคล้ายกับของปักกิ่ง ปัจจุบันเมืองที่มีอัตราการปลดล็อกมากที่สุดเป็นเมืองกว่างโจว
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังสังเกตว่าในช่วงนี้มีความเปลี่ยนแปลงของการนำเสนอข่าวโควิด-19 ในประเทศ สื่อจีนมีทิศทางที่เปลี่ยนไป โดยมีความพยายามลดความหวาดกลัวของประชาชนและให้ความรู้กับโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างตรงไปตรงมา ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่สื่อจะเน้นเสนอข่าวเรื่องผลกระทบสุขภาพจาก Long-Covid และผลกระทบที่เกิดกับสาธารณสุข การอยู่ร่วมกับโควิดจะทำให้หลายด้านแย่ลงกว่าเดิม เป็นต้น
เนื้อหาข่าวและการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา อย่างเช่น เรื่องการระบาดในเมืองกว่างโจวในระลอกนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 1.6 แสนคน แต่ 90% คือกลุ่มที่ไม่มีอาการ และอีก 10% คือกลุ่มที่มีอาการ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาการเบา มีเพียง 0.000025% เท่านั้นที่จะมีอาการหนัก กลุ่มผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะหายกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งหมอดังด้านโรคระบาดวิทยาของจีน นายแพทย์จาง เหวินหง ผู้ที่ห่างหายจากหน้าข่าวจีนไปนานก็ออกให้ให้สัมภาษณ์ โดยนายแพทย์จาง เหวินหง แนะนำให้ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะผู้สูงอายุออกไปรับวัคซีนและได้ยกผลการวิจัยจากต่างประเทศและในเซี่ยงไฮ้ว่า ไม่ว่าจะได้รับวัคซีนประเภทใดก็ตาม สามารถสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ลดการเสียชีวิตและลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 ได้มากถึง 80% การเน้นว่าสายพันธุ์โอมิครอนในจีนที่ระบาดอยู่ในปัจจุบันแพร่กระจายได้เร็วก็จริง แต่อาการผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนมากไม่รุนแรง ดังนั้น กระแสข่าวและบทความในจีนเริ่มชี้นำให้ประชาชนลดความหวาดกลัวในโรคโควิด-19 และพร้อมรับมือกับการระบาดในวงกว้างที่กำลังจะเกิดขึ้น นี่อาจจะเป็นการปูทางใหม่ของทางรัฐบาลจีนเพื่อให้ประชาชนเริ่มปรับตัว เพื่อนำไปสู่การเปิดประเทศในขั้นตอนต่อไป
ในด้านของสาธารณสุขจีนและการเตรียมรับมือ ทางรัฐบาลจีนได้ทยอยสร้างโรงพยาบาลสนามในหลายเมืองหลักมาก่อนหน้าสักระยะหนึ่งแล้ว โดยมีภาพการก่อสร้างหลุดออกมาในโซเชียลเป็นระยะๆและในตอนแรกชาวจีนเองยังไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่แน่ชัดของรัฐบาลว่าจะสร้างโรงพยาบาลสนามขึ้นมาใหม่มากมายไปทำไม
หลายคนคิดกันไปว่านโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนจะดำเนินตลอดไป (คิดแล้วหนาว) แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้มีแพทย์หญิงท่านหนึ่งจากโรงพยาบาลในมณฑลเจ้อเจียง ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเกี่ยวกับการอัปเกรดระบบการรักษาดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยในตอนหนึ่งแพทย์ท่านนี้ได้กล่าวว่า “โรงพยาบาลสนามจะมีเพื่อลดความแออัดของโรงพยาบาลในกรณีที่ผู้ป่วยโควิด-19 มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะโรงพยาบาลจำเป็นต้องคงอัตราห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอาไว้ให้อยู่ในภาวะปกติ” นั่นแสดงว่าโรงพยาบาลสนามมากมายที่สร้างขึ้นใหม่ในหลายเมืองของจีนมีขึ้นเพื่อรองรับการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อประกันว่าระบบสาธารณสุขจะไม่ล้มลง
นอกจากนี้ ยังมีนักเศรษฐศาสตร์จีนชื่อดัง 6 ท่าน ร่วมกันออกบทความ “เศรษฐกิจคือเรื่องอันดับหนึ่ง” เนื้อหาโดยสรุปคือการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพิ่มการจ้างงาน ช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์ และป้องกันโรคระบาดตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยบทความนี้ได้รับการแชร์ออกไปและคอมเมนต์จากประชาชนอย่างล้นหลาม
จังหวะการผ่อนปรนนโยบายโควิด-19 ของจีนในปัจจุบันถือเป็นจังหวะที่เร็วและก้าวที่ใหญ่ แต่ในกระบวนการปลดล็อกยังมีความสับสนเกิดขึ้นอยู่มากในหมู่ผู้ใช้นโยบายและประชาชน เพราะการประกาศนโยบายใหม่มักจะมาแบบกะทันหัน รายละเอียดที่มีมากและทั้งประเทศไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ในที่สุดชาวจีนเริ่มที่จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์