เขตเฉาหยาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานทูต ศูนย์การค้า หน่วยราชการที่สำคัญที่สุดในกรุงปักกิ่ง ตกอยู่ในภาวะเงียบสงัด เนื่องจากกรุงปักกิ่งมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ผู้สื่อข่าว MGR Online พักอยู่ในเขตเฉาหยาง กรุงปักกิ่ง ที่นี่เป็นพื้นที่ CBD หรือเขตธุรกิจสำคัญ เป็นศูนย์การทางเศรษฐกิจและราชการของจีน แต่ขณะนี้เขตเฉาหยางแตกต่างจากภาวะปกติอย่างสิ้นเชิง ร้านต่างๆ ปิดเกือบทั้งหมด ยกเว้นซูเปอร์มารฺเกต ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และบริการที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ยังเปิดได้ ท้องถนนที่เคยคึกคักไปด้วยผู้คนเงียบสงัด มีเพียงใบไม้ที่ปลิดปลิว บรรยากาศที่เขตเฉาหยางขณะนี้ยะเยือกยิ่งกว่าลมหนาวที่โบกพัดมา
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงปักกิ่งมีผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ณ วันที่ 23 พ.ย. มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 517 คน และมีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการมากถึง 1,139 คน โดยเขตเฉาหยางมีผู้ติดเชื้อมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งกรุงปักกิ่ง
เมื่อเดือนพฤษภาคม กรุงปักกิ่งถูก “ล็อกดาวน์” เกือบทั้งเมือง เมื่อเทียบกับขณะนี้ที่มีผู้ติดเชื้อสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่มาตรการต่างๆ กลับไม่เข้มงวดเหมือนครั้งนั้น การ “ล็อกดาวน์” ห้ามประชาชนออกจากพื้นที่ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ไม่ใช่การปิดพื้นที่ในวงกว้าง โดยปิดเฉพาะจุดที่พบผู้ติดเชื้อ และระยะเวลาการปิดพื้นที่สั้นลง ผู้คนยังออกนอกบ้านได้แต่ถูกจำกัดด้วยมาตรการตรวจเชื้อที่เข้มงวด ไม่มีการบังคับให้ทุกคนต้องไปตรวจหาเชื้อ แต่ตรวจเฉพาะพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อ เขตต่างๆ ใช้วิธี “ขอความร่วมมือ” ให้ประชาชนงดออกนอกพื้นที่ แทนคำสั่ง “ห้าม” เดินทาง
ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นสัญญาณว่า ทางการจีนกำลังใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์แบบมีพลวัต” หรือ Dynamic Zero Covid อย่างเป็นรูปธรรม หลังจากนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรค ประจำกรุงปักกิ่ง และรัฐบาลจีนปรับปรุงมาตรการควบคุมโควิด
อ่านประกอบ : จับสัญญาณ “อยู่ร่วมกับโควิด” ปักกิ่งตั้งแพทย์ใหญ่เป็นผู้นำเมืองคนใหม่
บัญญัติ 20 ประการ สัญญาณอยู่ร่วมกับโควิด
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. คณะทำงานควบคุมโรคของคณะรัฐมนตรีจีนได้ออกประกาศยกระดับมาตรการควบคุมโรคที่แม่นยำตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยมีมาตรการสำคัญที่เรียกว่า “บัญญัติ 20 ประการ” ประกาศนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงถึงการปรับปรุงมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 และมองกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการอยู่ร่วมกับโรค
“บัญญัติ 20 ประการ” ประกอบด้วยการลดระยะเวลาการกักตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีนเหลือ 5+3 (กักตัวรวม 5 วัน+สังเกตอาการที่บ้าน 3 วัน) ผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อให้กักตัวที่บ้าน 7 วัน แทนการกักตัวรวม รวมทั้งห้ามใช้มาตรการที่เข้มงวดเกินสมควร เช่น การขยายพื้นที่ล็อกดาวน์ การบังคับตรวจหาเชื้อทุกคน การตรวจหาเชื้อพร่ำเพรื่อ เช่น วันละ 2-3 ครั้ง มาตรการเหล่านี้ส่งผลให้ลดพื้นที่ที่ถูกปิด ลดเงื่อนไขการประเมินพื้นที่เสี่ยงและกักตัว ลดระยะเวลาการกักตัว ลดจำนวนคนที่ถูกกักตัวลงอย่างมาก
ทางการจีนระบุว่า นี่ไม่ใช่การเพิกเฉยต่อการระบาด แต่เป็นการปรับมาตรการให้เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าว MGR Online สำรวจพื้นที่เขตเฉาหยาง พบว่า ร้านค้าส่วนใหญ่ยังปิด แต่หลังจากวันที่ 22 พ.ย. ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เกต ธนาคารเปิดแล้ว ร้านอาหารยังไม่ให้รับประทานในร้านแต่ให้ซื้อกลับได้ แต่ร้านค้าหลายแห่งเผชิญปัญหาขาดแคลนพนักงาน เพราะหลายคนยังถูกห้ามออกนอกที่พักของตน พื้นที่เสี่ยง เช่น ร้านตัดผม ร้านนวด ห้างสรรพสินค้า ศาสนสถาน และสถานที่ท่องเที่ยวยังปิดทั้งหมด
การควบคุมการเข้าออกกรุงปักกิ่งถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ผู้ที่กลับมาจากต่างเมืองต้องกักตัวในที่พักและตรวจหาเชื้อทุกวันต่อเนื่อง 3-5 วัน
อย่างไรก็ตาม สภาวะขณะนี้ยังถือว่าผ่อนปรนมากกว่าช่วงเดือนพฤษภาคม ที่กรุงปักกิ่งแทบจะหลายเป็น “เมืองร้าง”
ประชาชนชาวจีนเริ่มอ่อนล้ากับการควบคุมที่ยาวนานเกือบ 4 ปี ภาคธุรกิจต่างๆ รับไม่ไหวหากต้องถูกล็อกดาวน์ถึง 2 ครั้งในปีเดียว ขณะที่รัฐบาลจีนก็รู้ว่า หากยังใช้มาตรการที่เข้มงวด ประชาชนอาจไม่ร่วมมือจนถึงเกิดการต่อต้าน และจะส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยและเศรษฐกิจอย่างสาหัส สิ่งที่เกิดขึ้นในเขต "เฉาหยาง" แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจีนกำลังหาหนทางที่จะอยู่กับโควิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป.