บลูมเบิร์ก/โกลบอลไทมส์ - รัฐมนตรีต่างประเทศจีนจวกมาตรการจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชาติทั้งสองยังคงตึงเครียดเพียงใด ก่อนหน้าที่ผู้นำมะกันและมังกร อาจมีโอกาสนั่งหารือกันตัวต่อตัวที่อินโดนีเซียในเดือนนี้
รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายคือนายหวัง อี้ และนายแอนโทนี บลิงเคน ต่อสายโทรศัพท์คุยกันเมื่อวันจันทร์ (31 ต.ค.) เป็นครั้งแรก หลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ซึ่งทั่วโลกจับตามองได้ปิดฉากลง และนายหวัง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนี่งในกรรมการกรมการเมือง (โปลิตบูโร) จำนวน 24 คน ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ตามการแถลงของกระทรวงต่างประเทศจีนนั้น นายหวัง กล่าวกับอีกฝ่ายว่า การนำความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กลับสู่เส้นทางเดิม ไม่เพียงแต่จะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว แต่ยังเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกคาดหวังอีกด้วย พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการจำกัดควบคุมและปราบปรามจีน อีกทั้งอย่าได้สร้างอุปสรรคใหม่ๆ มากีดขวางความสัมพันธ์ระหว่างกัน
“สหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกไปยังจีนครั้งใหม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการจำกัดการลงทุนในจีนและละเมิดหลักการค้าเสรีอย่างรุนแรง ตลอดจนเป็นการทำร้ายสิทธิอันชอบธรรมและผลประโยชน์ของจีนอย่างมหันต์ ซึ่งจำเป็นต้องมีการแก้ไขให้ถูกต้อง” นายหวัง ระบุ
ด้านนายเน็ด ไพรซ์ โฆษกของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า บุคคลทั้งสองสนทนากันถึงความจำเป็นที่จะต้องให้มีการเจรจากันอย่างเปิดเผยคงอยู่ต่อไป และมีการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างรับผิดชอบ นอกจากนั้น นายบลิงเคนยังหารือเรื่องการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน และผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลก
การวิพาษ์วิจารณ์รุนแรงของนายหวัง เป็นการพาดพิงอย่างชัดเจนถึงกรณีสหรัฐฯ ประกาศจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ให้แก่จีนเมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า หากประธานาธิบดี โจ ไบเดน และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ยอมนั่งลงเจรจากันระหว่างมาร่วมการประชุมผู้นำกลุ่มชาติระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ชาติ (G20) ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 15-16 พ.ย.2565 ก็คงจะมีการถกเถียงกันในประเด็นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เสมือนการตัดแขนตัดขาจีนในการสร้างอุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง
นอกจากการโทรศัพท์พูดคุยกับนายบลิงเคน แล้ว ด้านนายนิโคลาส เบิร์นส์เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงปักกิ่ง ยังได้มีโอกาสพบกับนายหวังเมื่อวันศุกร์ (28 ต.ค.) หลังจากเขามาถึงกรุงปักกิ่งเมื่อเกือบ 8 เดือนก่อน โดยนายหวังได้กล่าวสรุปเกี่ยวกับการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมกับแจ้งให้นายเบิร์นส์ รับทราบว่า จีนและสหรัฐฯ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ และสหรัฐฯ ไม่ควรคิดถึงเรื่องการขัดขวางจีนอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของจีนยังคงมองว่า ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็ต้องการลดความตึงเครียด และการโทรศัพท์พูดคุยกันครั้งนี้เป็นการแสดงท่าทีเชิงบวกจากฝ่ายจีน เพื่อบอกกับสหรัฐฯ ว่า จีนไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่ ภายหลังการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ แต่ยังคงแสวงหาการดำเนินนโยบายอย่างสร้างสรรค์กับสหรัฐฯ ต่อไป
ขณะที่ประธานาธิบดีสีก็แสดงท่าทีประนีประนอม ในสาส์นแสดงความยินดี ที่เขาส่งถึงคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน (National Committee on US-China Relations) ในงานเลี้ยงรับประทานอาหารค่ำประจำปีที่จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยระบุว่า ปักกิ่งยินดีที่จะแสวงหาหนทางในการเดินไปข้างหน้าพร้อมกับสหรัฐฯ
บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในการแถลงของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และจีน เกี่ยวกับการโทรศัพท์คุยกันระหว่างนายหวัง กับนายบลิงเคน ครั้งนี้ ไม่มีการเอ่ยถึงปัญหาไต้หวัน หลังจากการไปเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ได้สร้างความร้าวฉานครั้งใหญ่ การละเว้นไม่พูดเรื่องไต้หวันย่อมแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ เองก็ต้องการลดความตึงเครียดกับจีนเช่นกัน