โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล นักวิชาการอิสระ
ในบทความนี้ผู้เขียนอยากที่จะเขียนเรื่องที่น่าจะเป็นจุดสนใจของคนไทยหลายๆ คน ที่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่กันที่จีนจะเปิดประเทศให้มีการเดินทางอย่างอิสระเหมือนอย่างแต่ก่อน? คนจีนตั้งหน้าตั้งตารออยากเดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศกันหรือไม่? ในบทความนี้ผู้เขียนจะวิเคราะห์จากสัญญาณปัจจุบันที่เกิดขึ้นในหลายมิติ
ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศไทย และหากไม่เกิดการระบาดของโควิด-19 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่หลั่งไหลไปเที่ยวไทยน่าจะมีแนวโน้มทำลายสถิติสูงขึ้นทุกปี แต่หลังการระบาดของโรคโควิด-19 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศจากหลักหลายสิบล้านต่อปี กลายเป็นเกือบศูนย์ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยซบเซาในทันที
ปัจจุบัน จีนยังเป็นประเทศหนึ่งที่มีมาตรการการป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มข้น การเดินทางเข้าออกประเทศจีนมีกฎเกณฑ์มากมายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนจีนที่ต้องการเดินทางระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก ยกตัวอย่างเช่น
1.ปัจจุบันการกักตัวขาเข้าประเทศถึงแม้จะลดเวลาลงเหลือ 10 วัน (7 กักตัวในโรงแรมที่ถูกจัดให้ +3 กักตัวที่บ้าน) แต่ก็ยังถือเป็นระยะเวลาที่นาน และยังออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเองด้วย
2.ตั๋วเครื่องบินมีราคาแพงและเที่ยวบินมีน้อย
3.เที่ยวบินจากประเทศต้นทางก่อนเข้าจีนต้องจัดการให้ผู้ที่จะขึ้นเครื่องทั้งหมดไปกักตัวในโรงแรมที่สายการบินจัดให้ก่อน 3 วัน (ผู้โดยสารนอกจากค่าตั๋วแล้ว ต้องจ่ายค่าโรงแรมกักตัวก่อนขึ้นเครื่องเองด้วย) มีการตรวจเชื้อโควิดแบบ RT-PCR ทุกวัน หากผลตรวจ RT-PCR ของผู้โดยสารคนใดเป็นบวกจะไม่สามารถไปขึ้นเครื่องบินได้ นั่นก็แสดงว่าขั้นตอนการกักตัวในการเข้าจีนมี 2 ครั้งคือต้องกักตัวก่อนเข้าประเทศและหลังจากเข้าประเทศ ค่าใช้จ่ายในการกักตัวสูงและระยะเวลากักตัวรวมๆ กันก็เกือบครึ่งเดือนไปแล้ว
สำหรับการตั้งตารอออกไปเที่ยวต่างประเทศของคนจีน จากการสอบถามเพื่อนรอบตัวของผู้เขียนและอ่านข้อความต่างๆ ของชาวเน็ตจีนที่โพสต์ในโซเชียลมีเดียได้ข้อสรุปว่า คนจีนที่ปกติเดินทางออกเที่ยวต่างประเทศทุกๆ ปีมีความหวังเป็นอย่างมากที่จะได้ออกไปเที่ยวอย่างอิสระเหมือนแต่ก่อน ตั้งตารอการเปิดประเทศ และบางคนถึงขนาดมีแผนการท่องเที่ยวในใจเรียบร้อย อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศก็จะเฉยๆ และไม่ได้เห็นความสำคัญอะไร อีกกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านการออกไปเที่ยวต่างประเทศเพราะมองว่าความเสี่ยงในการเดินทางสูง และจะนำพาเชื้อโรคโควิด-19 เข้ามาแพร่กระจายในประเทศ เป็นภาระให้ประเทศตนเอง
ชาวเน็ตจีนมีการตั้งกระทู้ถกเถียงกันในประเด็นการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศจะเป็นแบบนี้ไปตลอดหรือไม่? ส่วนใหญ่มองว่าเป็นไปได้ยาก เพราะเศรษฐกิจและสังคมจีนแบบสมัยใหม่ต้องการการไปมาหาสู่กับต่างชาติ ไม่ว่าจะด้านการค้า การส่งออก ธุรกิจ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม กอปรกับการผลักดันนโยบาย ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การติดต่อเดินทางกับต่างประเทศของจีนมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นไม่ใช่น้อยลง
แล้วประเด็นที่ว่าเมื่อไหร่ที่จีนจะเปิดกว้างการเดินทางระหว่างประเทศ? มีนักวิชาการบางกลุ่มและสื่อต่างประเทศอย่าง มอร์แกน สแตนลีย์ ประเมินว่า จีนอาจจะเปิดประเทศในปี 2023 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือประมาณเดือน มี.ค. ถึง เม.ย. ทั้งนี้ ตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นมารัฐบาลจีนเริ่มมีสัญญาณการเริ่มลดความเข้มข้นของนโยบายการป้องกันโรคโควิด-19 ลง และผู้เขียนขอสรุปเป็นประเด็นดังต่อไปนี้
- ตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นมาจีนเปิดให้ยื่นขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศจีนให้แก่นักเรียนต่างชาติ เปิดการขอวีซ่าประเภทเยี่ยมญาติและวีซ่าประเภทผู้ติดตาม (สองสามีภรรยาคนใดคนหนึ่งทำงานในจีนที่ถือวีซ่าทำงาน คู่ครองอีกคนที่ไม่ได้ทำงาน สามารถขอวีซ่าประเภทติดตามได้) ซึ่งวีซ่าประเภทพวกนี้ได้ปิดรับการยื่นขอมาตั้งแต่ปี 2020 ตรงนี้เป็นสัญญาณสำคัญว่าจีนค่อยๆ เปิดรับชาวต่างชาติให้เข้ามาในประเทศ
- เวลาการกักตัวขาเข้าประเทศจีนลดลง จาก 14+7 (14 วันกักตัวในโรงแรมที่ถูกจัดให้ +7 วันกักตัวที่บ้าน) เป็น 7+3 (7 วันกักตัวในโรงแรมที่ถูกจัดให้ +3 วันกักตัวที่บ้าน) ทำให้ลดต้นทุนของเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้เดินทางมากขึ้น
- ได้เปิดให้ผู้โดยสารที่มาจากต่างประเทศสามารถนั่งเครื่องบินแบบเปลี่ยนเครื่อง (Transfer Flight) ก่อนเข้ามาในจีนได้ อย่างเช่น ผู้เขียนนั่งเครื่องบินจากไทยมาจีนสามารถไปเปลี่ยนเครื่องบินที่เกาหลี ญี่ปุ่นหรือที่ฮ่องกงก่อนเข้าจีนได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาจีนจะอนุญาตให้ผู้โดยสารที่เดินทางมาจีนนั่งไฟลต์ที่บินตรง (Direct Flight) เท่านั้น ซึ่งการซื้อตั๋วเครื่องบินแบบบินตรงจะมีข้อจำกัดมากเรื่องไฟลต์บินที่มีน้อยมากและราคาสูงแบบสุดๆ
- ในการขอโค้ดสุขภาพสีเขียวเพื่อการเดินทางเข้าจีน มีช่องทางด่วนบริการเพื่อให้ผู้โดยสารที่มีเรื่องด่วนที่ต้องเดินทางกะทันหัน จะอนุมัติโค้ดเขียวเข้าจีนได้เร็วยิ่งขึ้น
- ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การลงโทษไฟลต์บินต่างๆ ให้หยุดบิน ลดระยะเวลาการเก็บสถิติสะสมผู้ติดโควิดจากแต่ละไฟลตฺบินลงจาก 7 วันเหลือ 5 วัน โดยในการบินของแต่ละไฟลต์ที่บินมาจากต่างประเทศ จะมีการเก็บสถิตินับจำนวนผู้โดยสารที่มีผลบวกเมื่อมาถึงจีน หากว่าไฟลต์ไหนในรอบ 7 วันมีผู้โดยสารผลเป็นบวกสะสมในระดับที่ต่างกัน จะต้องหยุดบินเป็นจำนวนสัปดาห์ที่ต่างกันไป ทั้งนี้จะมีเกณฑ์หลายระดับ ระยะเวลาการลงโทษให้ไฟลต์หยุดบินก็ไม่เท่ากัน
- กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีนประกาศเมื่อกลาง ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ให้เปิดการท่องเที่ยวชายแดนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ โดยจะเป็นลักษณะให้บริษัททัวร์ร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นให้นำทัวร์นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวจีนผ่านชายแดนได้ แต่ยังมีเงื่อนไขเรื่องการจำกัดพื้นที่ในการท่องเที่ยว เช่น กรุ๊ปทัวร์เวียดนาม จะสามารถผ่านด่านชายแดนเข้ามาเที่ยวจีนที่กว่างซีได้ แต่ต้องเที่ยวอยู่ในบริเวณที่จำกัดและอยู่ในเมืองที่ระบุ ไม่สามารถเดินทางข้ามมณฑลไปเมืองอื่นๆ ได้
- การยกเลิกการกักตัวในฮ่องกง ตามโมเดล 0+3 คือตรวจ RT-PCR เมื่อถึงฮ่องกงและอีก 3 วันถัดจากนั้นจะต้องตรวจ RT-PCR อย่างต่อเนื่อง หากว่าผลในทุกครั้งไม่มีปัญหาก็จะได้โค้ดสุขภาพสีเขียว
สัญญาณต่างๆ ที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมาทั้งหมดมีการประกาศออกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นมา และประเมินว่าหลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ที่ประชุมระหว่าง 16-22 ต.ค. น่าจะได้เห็นสัญญาณการเปิดประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมอีก จุดสนใจในขณะนี้คือ การเริ่มเปิดการท่องเที่ยวชายแดน และการที่ฮ่องกงใช้โมเดล 0+3 อาจจะเป็นเพราะว่ารัฐบาลจีนต้องการดูแนวโน้มการระบาดของโรคโควิด-19 หลังผ่อนคลายมาตรการเดินทางมายังจีนว่าจะเป็นอย่างไร จะรับมือได้มากแค่ไหน และแน่นอนว่าคนจีนไม่น้อยก็กำลังตั้งตารอการเดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศอยู่เช่นกัน