ขณะนี้นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือน ต.ค. จะมีการประกาศยกเลิก หรือผ่อนคลายนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” (Zero Covid) อย่างที่เคยคาดการณ์กัน
การประชุมครั้งนี้ถูกจับตามอง 2 เรื่องสำคัญก็คือ การรั้งตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์และประธานาธิบดี กลายเป็นผู้นำสูงสุดติดต่อเป็นสมัยที่ 3 ของสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในจีน โดยเกือบเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะเป็นไปตามนั้น หลังจากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเปิดทาง
อีกเรื่องคือ การยกเลิกนโยบาย "โควิดเป็นศูนย์" ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างเข้มข้นจนส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเสียหาย บรรดานักวิเคราะห์เห็นว่า เมื่อการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 3 ของสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นเรื่องการเมืองที่มีความอ่อนไหวสูงถูกจัดการลงตัวแล้ว น่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับนโยบายนี้อย่างน้อยๆ ก็ผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีการมองกันว่า สี จิ้นผิง ผลักดันนโยบาย "โควิดเป็นศูนย์" ก็เพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง และทำให้การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ดำเนินไปอย่างราบรื่น
ทว่าความคาดหมายนี้อาจไม่เกิดขึ้นจริง เมื่อพิจารณาจากการส่งสัญญาณของเจ้าหน้าที่หลายคนเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า นโยบาย "โควิดเป็นศูนย์" จะยังไม่ไปไหน สี จิ้นผิงเองก็เคยกล่าวสุนทรพจน์หลายต่อหลายครั้ง ยกย่องว่าเป็นโยบายปกป้องชาวจีน ซึ่งมีจำนวนมหาศาล อีกทั้งสุขภาพของประชาชนก็เป็นเรื่องที่จะหุนหันพลันแล่นทำไม่ได้
ในการประชุมสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันศุกร์ (16 ก.ย.) นางซุน ชุนหลัน รองนายกรัฐมนตรี และพันธมิตรของสี จิ้นผิง ได้ย้ำความมุ่งมั่นของจีนที่จะใช้กลยุทธ์ดังกล่าวและระบุว่า การใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์แบบกำหนดเป้าหมายจะลดผลกระทบทางเศรษฐกิจให้น้อยลง
เจมส์ ซิมเมอร์แมน หุ้นส่วนในสำนักงานกฎหมายเพอร์กินส์คอย (Perkins Coie) ในกรุงปักกิ่ง และอดีตประธานหอการค้าอเมริกันในจีน มองว่า สี จิ้นผิง วางเดิมพันนโยบายนี้ด้วยอำนาจความชอบธรรมทั้งหมดที่เขามีอยู่ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม แม้กระทั่งเศรษฐกิจจะเสียหายบ้างก็ยอม หากถอยหลังตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยกเลิกนโยบายก่อนจีนจะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ ก็อาจก่อหายนะทางการเมืองขึ้นในจีนไม่ว่าสีจิ้นผิงจะได้เป็นผู้นำสูงสุดสมัยที่ 3 หรือไม่
นักวิเคราะห์อีกหลายคนเห็นด้วยว่า นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” จะยังไม่หายไปไหน จนกว่าจีนจะมีวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ และฉีดให้ประชาชนเป็นจำนวนมากพอแล้วเท่านั้น โดยการผ่อนคลายอาจเริ่มขึ้นในปีหน้า
นายหง เหา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโกรว์อินเวสต์เมนต์กรุ๊ป (Grow Investment Group) ในฮ่องกงมองว่า นโยบายนี้จะยังคงอยู่อีกยาวนานกว่าที่คาดกัน เพราะมาตรการควบคุมเข้มงวดแต่มีประสิทธิภาพนี้ทำให้ประชากรราวร้อยละ 99 ของจีนยังไม่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิด-19 แตกต่างจากสหรัฐฯ ซึ่งรายงานเมื่อไม่นานของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยวอชิงตันประเมินว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 95 ติดเชื้อโควิด-19 จึงทำให้มีภูมิคุ้มกัน ถึงไม่นานเป็นปีแต่ก็หลายเดือน
รายงานหลายฉบับของนักวิเคราะห์ โกลด์แมนแซคส์กรุ๊ป ในสัปดาห์นี้ ทำนายว่า จีนอาจเปิดประเทศอย่างเร็วที่สุดก็ในไตรมาส 2 ของปี 2566 แต่ถึงกระนั้นการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ จะดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2566-2567
นี่อาจเป็นการคาดการณ์ในเชิงลบมากที่สุดในบรรดาการวิเคราะห์ทั้งหลายก็เป็นได้
ข้อมูล : BARRONS.COM