ไชน่าเดลี - อุซเบกิสถาน สาธารณรัฐในภูมิภาคเอเชียกลาง ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนจะไปเยือน เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ครั้งที่ 22 นั้น มีฝ้ายเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งมักเรียกขานกันว่า ทองคำขาวแห่งอุซเบกิสถาน
สถาบันวิจัยฝ้ายในสังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์การเกษตร (CAAS) ของจีน ได้เริ่มโครงการนำร่องทดลองปลูกฝ้ายด้วยเทคโนโลยีทันสมัยในอุซเบกิสถานเมื่อปี พ.ศ.2561 ซึ่งก่อให้เกิดความหวังว่า จะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต ตลอดจนเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรในอุซเบกิสถาน
นักวิจัยได้ทดลองปลูกฝ้าย 6 สายพันธุ์ของจีน โดยใช้วิธีการทันสมัย เช่น การใช้พลาสติกคลุมดิน การปรับสูตรปุ๋ยบำรุงให้เหมาะสมกับสภาพของดิน การควบคุมศัตรูพืชด้วยชีววิธี และการใช้ระบบน้ำหยด โดยดำเนินการทดลองปลูกใน ภูมิภาคซีร์ดาร์ยา 312.5 ไร่ และในอีก 3 ภูมิภาค แปลงละ 112.5 ไร่
ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยไร่ฝ้ายในโครงการให้ผลผลิตสูงถึง 6 เมตริกตัน ต่อเนื้อที่ 6.25 ไร่ หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่าจากระดับผลผลิตในท้องถิ่น และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือวิธีการปลูกของจีนใช้น้ำเพียง 1 ใน 3 ของที่ไร่ฝ้ายในท้องถิ่นใช้กัน
นายหม่า สยงเฟิง รองหัวหน้าสถาบันวิจัยฝ้ายของจีนระบุว่า นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับอุซเบกิสถาน ซึ่งเผชิญกับปัญหาท้าทายต่างๆ มาเป็นระยะเวลานาน อันสืบเนื่องมาจากความแห้งแล้ง
ทั้งนี้ พื้นที่เกษตรกรรมในอุซเบกิสถานร้อยละ 40 ใช้สำหรับปลูกฝ้าย หรือคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศ และการปลูกฝ้ายเป็นแหล่งรายได้สำหรับประชากรครึ่งหนึ่งของอุซเบกิสถาน
นอกจากโครงการทดลองปลูกฝ้ายนำร่องแล้ว จีนและอุซเบกิสถานยังดำเนินความร่วมมือกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการผลิตฝ้ายได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน
ขณะที่ บริษัทความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการเกษตรทันสมัยหยางหลิง (Yangling Modern Agriculture International Cooperation Co) ก็กำลังสร้างสวนนำร่อง สำหรับวิทยาศาสตร์และการเกษตรสมัยใหม่ ในภูมิภาคภูมิภาคซีร์ดาร์ยา ซึ่งรวมทั้งการทดลองปลูกพืช เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง และข้าวโพดสายพันธุ์ใหม่ๆ อีกด้วย
จีนยังคงเป็นชาติคู่ค้ารายใหญ่สุดของอุซเบกิสถาน โดยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าและจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่สุดของอุซเบกิสถานในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยมีมูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.4 จากปีที่แล้ว เป็น 4,530 ล้านดอลลาร์ จากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ของจีน