หน่วยงานวิจัยของจีนเผย ตะวันออกกลางระส่ำระสายนานกว่า 20 ปี เพราะสหรัฐฯ บ่มเพาะความขัดแยังเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างโจ่งครึ่ม อ้างปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายแต่กลับสนับสนุนอาวุธให้กลุ่มต้านรัฐบาล
สมาคมผู้สื่อข่าวแห่งประเทศจีนได้จัดการแถลงข่าวเรื่อง “การละเมิดสิทธิมนุษยชนในตะวันออกกลางโดยสหรัฐฯ” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญมาบรรยายสรุปรายงานของสมาคมสิทธิมนุษยชนศึกษาแห่งประเทศจีน ซึ่งเผยแพร่เมื่อต้นเดือนสิงหาคม
รายงานของ NGO จีนระบุว่า สาเหตุที่ภูมิภาคตะวันออกลางตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายอย่างยาวนาน เพราะการแทรกแซงของสหรัฐฯ ที่ก่อสงครามและสร้างความขัดแย้งในประเทศต่างๆ ฉวยโอกาสเพื่อแสวงหาผลประโยชน์
สหรัฐฯ ก่อสงครามในตะวันออกกลาง ตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซีย (1990-1991) สงครามอัฟกานิสถาน (2001-2021) สงครามอิรัก (2003-2011) และยังอยู่เบื้องหลังขบวนการ “อาหรับสปริง” ที่ลุกลามเป็นสงครามในลิเบีย ซีเรีย และที่อื่นๆ
นิตยสารของสถาบันสมิธโซเนียนของสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2001 สหรัฐฯ ใช้ข้ออ้างเรื่อง “ก่อการร้าย” ทำสงครามและปฏิบัติการทางทหารในประเทศต่างๆ มากถึงร้อยละ 40 ของทั้งโลก
ความไม่สงบทำให้ประเทศต่างๆ ไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ ประชาชนถูกสังหารและละเมิดสิทธิมนุษยชน ภูมิภาคตะวันออกกลางที่เคยเป็น “อู่อารยธรรม” ต้องย่อยยับ พิพิธภัณฑ์และโบราณวัตถุถูกทำลายหรือปล้นชิง สถานที่สำคัญทางศาสนาเสียหาย มีการเผาและห้ามศึกษาพระคัมภีร์อัลกุรอาน เพราะสหรัฐฯ มองว่าอารายธรรมมุสลิมเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย
สหรัฐฯ คือผู้ที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ ทั้งการยึดครองทรัพยากรอย่างน้ำมัน ควบคุมการผลิตและการค้าธัญพืชในตะวันออกกลางที่เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวสาลีและข้าวโพดที่สำคัญของโลก จนก่อให้เกิดการขาดแคลนอาหาร ราคาอาหารพุ่งสูง สร้างปัญหาทางมนุษยธรรม
ล่าสุด สหรัฐฯ ยังอายัดทรัพย์สินของธนาคารแห่งชาติอัฟกานิสถาน ทำให้รัฐบาลไม่มีเงินทุนสำรองใช้ นี่คือการ “เลี้ยงไข้” ไม่ให้อัฟกานิสถานฟื้นฟูประเทศได้ แม้ว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวออกไปแล้วก็ตาม
ศ.หวัง หลินชง รองประธานสถาบันวิจัยตะวันออกกลาง กล่าวว่า สหรัฐฯ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ล้มรัฐบาลของประเทศที่ไม่เอื้อประโยชน์ให้ แทรกแซงอธิปไตยและกิจการภายในของประเทศอื่น
“สหรัฐฯ นำกฎหมายของตนไปบังคับใช้กับประเทศอื่น ใช้มาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว แม้แต่ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ก็ไม่ผ่อนปรนการคว่ำบาตร ทำให้ประเทศต่างๆ ไม้ได้รับวัคซีน อุปกรณ์การแพทย์ และเวชภัณฑ์อย่างทันท่วงที”
ความไม่สงบในตะวันออกกลางยืดเยื้อกว่า 10 ปี เพราะสหรัฐฯ เปลี่ยนความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ ให้เป็นสงครามกลางเมือง และยกระดับเป็นสงครามระหว่างประเทศ ความไม่สงบนี้เปิดทางให้กลุ่มก่อการร้ายขยายตัว
ปากว่าตาขยิบ ปราบกลุ่มก่อการร้าย
นักวิจัยชาวจีนที่ค้นคว้าเรื่องสงครามซีเรีย ตั้งคำถามว่า สหรัฐฯ ใช้นโยบายปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายมานานกว่า 10 ปี แต่ทำไมยิ่งปราบยิ่งเติบโต?
สาเหตุเพราะความไม่สงบในตะวันออกกลาง ทำให้เศรษฐกิจไม่พัฒนา เอื้อต่อการขยายอิทธิพลของกลุ่มก่อการร้าย นอกจากนี้ สหรัฐฯ นิยามกลุ่มก่อการร้ายตามผลประโยชน์ของตัวเอง หากกลุ่มนั้นมีประโยชน์ต่อสหรัฐฯ ก็จะไม่ถูกปราบ และหลายกลุ่มพัฒนาเป็นกลุ่มก่อการร้าย
“สหรัฐญ ส่งทหารไปเฝ้าบ่อน้ำมันในซีเรีย อ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มก่อการร้าย สหรัฐฯ ใช้สิทธิอะไร? อาวุธที่กลุ่มกบฏในซีเรียใช้ก็มาจากสหรัฐฯ สหรัฐฯ ใช้ 2 มาตรฐานในการปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย กลุ่มที่เป็นอันตรายต่อสหรัฐฯ จะถูกปราบปราม แต่กลุ่มที่เอื้อประโยชน์ให้จะไม่ถูกปราบ และยังจะได้รับการสนับสนุนด้วย”
“กวนตานาโม” หลักฐานตำตาเรื่องสิทธิมนุษยชน
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ระบุว่า เรือนจำกวนตานาโม ในประเทศคิวบา คือตัวอย่างที่ชัดเจนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ คุกแห่งนี้มีการทรมานนักโทษอย่างเป็นระบบ นักโทษส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับการพิจารณาคดีนานนับ 10 ปี กลายเป็น “นักโทษชั่วนิรันดร์” ปีนี้คุกกวนตานาโมครบรอบ 20 ปีแล้ว แต่ยังไม่ถูกปิดตัวลง ถึงแม้สหประชาชนชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนมากมายเรียกร้องให้ปิด “นรกบนดิน” แห่งนี้ก็ตาม
สหรัฐฯ ตั้ง "คุกลับ" ในประเทศอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงพันธะทางกฎหมายของสหรัฐฯ และเมื่อมีการสอบสวนเรื่องการทารุณกรรม และละเมิดสิทธิมนุษยชนจากองค์กรระหว่างประเทศ สหรัฐฯ กลับคว่ำบาตรองค์กรที่มาตรวจสอบ สหรัฐฯ ตั้งมาตรฐานให้ประเทศอื่นๆ แต่ทำไม่ได้ตามมาตรฐานที่ตัวเองตั้งไว้ สหรัฐฯ ไม่เคยพูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของตัวเองในภูมิภาคต่างๆ ของโลก รวมถึงการเหยียดเชื้อชาติและทำร้ายคนเอเชียในสหรัฐฯ เองด้วย
“ไม่มีการพัฒนาประเทศ ก็ไม่มีสันติภาพ”
นโยบายของจีนต่อภูมิภาคตะวันออกกลาง คือ สนับสนุนการพัฒนาประเทศ สร้างความกินดีอยู่ดีให้ประชาชน และไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า “หากประเทศไม่มีการพัฒนา ก็จะไม่มีสันติภาพ และก็ไม่มีสิทธิมนุษยชน”
สหรัฐฯ ใช้สิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง เชื่อมโยงกับนโยบายต่างประเทศ การค้า การลงทุน และใช้สิทธิมนุษยชนเป็นเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือประเทศต่างๆ สหรัฐฯ ตราหน้าประเทศอื่นว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน และจะไม่มีความร่วมมือด้วย
รัฐบาลจีนไม่เคยเลือกปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือประเทศต่างๆ เพราะเชื่อว่า หากสนับสนุนให้ประเทศมีการพัฒนา ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ความไม่สงบก็จะลดน้อยลง กลุ่มก่อการร้ายจะไม่มีเงื่อนไขในการเพิ่มแนวร่วม สันติภาพจะเกิดขึ้น นี่คือแนวคิด “ประชาคมร่วมอนาคตของมนุษยชาติ” 人类命运共同体 ของจีน ที่เชื่อว่า ไม่มีประเทศใดเป็นมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียว ทั่วทั้งโลกต่างร่วมในชะตาเดียวกัน