xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights : ฤา...การถดถอยของเศรษฐกิจจีนจะหนักกว่าที่คิดกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


มาตรการป้องกันโควิด-19 ทำให้กิจกรรมการจัดหางานที่เคยจัดกันต้องหยุดไป ช่องทางหางานของเด็กจบใหม่น้อยลง ในภาพ มหกรรมรับสมัครงานในเมืองซูเฉียน มณฑลจียงซู เมื่อปี 2020 (แฟ้มภาพจาก ไชน่าเดลี)
โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล นักวิชาการอิสระ

วันนี้ผู้เขียนอยากที่จะเล่าสู่กันฟังถึงเศรษฐกิจจีนและปัจจัยที่น่าจับตาเกี่ยวกับภาวะถดถอยของเศรษฐกิจจีนที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นต่อจากนี้ ทางการจีนได้ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศช่วงต้นปีออกมาแล้ว โดยในปีนี้ทั้งปีรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายการเติบโต GDP ไว้ที่ 5.5% และตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 มีเพียง 2.5% เท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีนหลายท่านออกมาบอกแล้วว่าต่อจากนี้ไปจนถึงปลายปี เศรษฐกิจจีนจะพบความท้าทายในหลายๆ ด้าน ปัญหาทางเศรษฐกิจจีนสะสมมาเรื่อยๆ และเริ่มชัดมากในปีนี้นับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด 19

แน่นอนว่านโยบายการต่อสู้กับโรคระบาดและการล็อกดาวน์เมืองเป็นเวลานานคือสาเหตุสำคัญหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอย แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนโดยรวมทำให้ทุกคนต้องพยายามปรับตัวที่จะอยู่ร่วม จีนเองก็พยายามลดควาเข้มข้นของมาตรการการกักตัวในพื้นที่เสี่ยง เพื่อลดอุปสรรคการเดินทางของประชาชนในแต่ละเมือง แต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของประชาชนอยู่ดี การกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการเดินทางระหว่างประเทศไม่สามารถกลับมาเหมือนก่อนโควิด-19 แบบ 100% ได้

ผู้เขียนขอยกประเด็นต่างๆ ที่สำคัญมาปะติดปะต่อกันแล้ววิเคราะห์ถึงปัจจัยเสี่ยงใหญ่ที่น่าจับตาและอาจจะนำมาซึ่งภาวะการถดถอยครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจจีนในอนาคต

-คนตกงานมากขึ้น การแข่งขันหางานเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา อัตราการว่างงานของประชาชนจีนช่วงอายุ 16-24 ปี ทั่วประเทศสูงถึง 19% นับว่าสูงเป็นประวัติการณ์ โดยเหตุผลหลักเกิดจากกลุ่มคนที่เรียนจบใหม่จำนวนมากทะลักเข้ามาในตลาดแรงงาน ขณะที่ความสามารถในการจ้างงานของบริษัทส่วนใหญ่ลดลง อีกทั้งเพราะมาตรการป้องกันของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมจัดหางานที่เคยจัดกันต้องหยุดไป ช่องทางในการหางานของเด็กจบใหม่น้อยลง ไม่เพียงเท่านั้นในปีนี้จำนวนเด็กจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยจะทำสถิติมากขึ้นกว่าปีที่แล้วด้วย ทำให้การแข่งขันในการหางานของคนกลุ่มนี้ยากขึ้นไปอีก และไม่ใช่แค่เพียงคนกลุ่มนี้แข่งกันเองเท่านั้น ยังต้องแข่งกับกลุ่มคนทำงานมีประสบการณ์ที่ยังหางานอยู่ด้วย

ก่อนหน้านี้ข่าวพาดหัวใหญ่ในจีนคือข่าวหญิงจบปริญญาเอกไปสอบแข่งขันเพื่อเข้าเป็นเทศกิจในเมืองหนึ่ง และผ่านการสอบคัดเลือกด้วย ชาวเน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ว่า ขนาดตำแหน่งงานเทศกิจของเมืองยังต้องแข่งขันกับคนจบปริญญาเอกกันแล้ว!! ตลาดงานจีนใหญ่ก็จริง แต่ในขณะนี้ความกดดันและการแข่งขันของประชาชนในประเทศกับการหางานก็มีอยู่มากจริงๆ

กิจกรรมการลงทุนของสามยักษ์ใหญ่ไอทีจีน ที่เรียกว่ากลุ่ม BAT (Baidu, Alibaba,Tencent) มีการปรับตัวและลดขนาดลง (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
- กระแสปลดพนักงานของบริษัทเอกชน มีออกมาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน โดยการปลดและลดจำนวนพนักงานของบริษัทใหญ่ๆ ในจีนเป็นที่กล่าวขานถึงมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันกระแสข่าวแบบนี้ก็ยังไม่หยุดหย่อน ไม่ใช่แค่ในภาคบริการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาคธุรกิจขนาดใหญ่อย่างธุรกิจด้านไอที ที่ก่อนหน้าเป็นความฝันของคนรุ่นใหม่ หลายคนพยายามเข้าไปทำงานเพราะรายได้ดีและเติบโตไว กลายเป็นว่าตั้งแต่ปีที่แล้วข่าวการลดและปลดพนักงานของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ต่างๆ มีออกมาไม่หยุด ล่าสุด ได้มีข่าวออกมาว่า อาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) ได้ลดพนักงานในแผนกยุทธศาสตร์และการลงทุนลงจาก 110 คน เหลือ 70 คน โดยได้ลดพนักงานปฏิบัติการระดับกลางถึงสูง แต่ทางบริษัทอาลีบาบา ยังไม่ได้ออกมาแถลงยืนยันข่าวอย่างเป็นทางการ (ปกติข่าวลือแบบนี้มักจะเป็นจริงและบริษัทต่างๆ ไม่ค่อยกล้าออกมาบอกความจริงตรงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นนัก) โดยแหล่งข่าวยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่าหลายบริษัทไอทีใหญ่ลดการลงทุนลงทำให้แผนกที่เกี่ยวข้องลดขนาดลงไปด้วย โดยเฉพาะบริษัทไอทียักษ์ใหญ่เกือบทุกรายมีการชะลอและลดการลงทุนใหม่ลง ตัวออย่างเช่น Bytedance และ Tencent ได้มีข่าวการลดพนักงานในแผนกยุทธศาสตร์และการลงทุนลง

หากมองย้อนกลับไปที่อาลีบาบา จะมีการลงทุนใหม่อยู่เสมอ จากข้อมูลสถิติของ IT Orange รายงานถึงกิจกรรมการลงทุนของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่จีน BAT (หมายถึง บริษัทไอทีรายใหญ่ Baidu, Alibaba,Tencent) ในปีที่แล้ว โดยอาลีบาบากรุ๊ปมีบริษัทที่ลงทุน 660 บริษัท มีกิจกรรมการลงทุนอยู่ 827 ครั้ง ส่วนของ Tencent มีการลงทุนใน 1,111 บริษัท และมีกิจกรรมการลงทุน 1,408 ครั้ง สุดท้ายของกลุ่ม Baidu มีการลงทุนใน 341 บริษัท และมีกิจกรรมการลงทุน 418 ครั้ง กำลังเป็นที่จดจ้องคือในปีนี้อาลีบาบากรุ๊ป ครึ่งปีแรกมีการลงทุนเพียง 11 ครั้งเท่านั้น สรุปคือในแง่ความสามารถในการจ้างงานของบริษัทใหญ่ๆ พวกนี้ยังต้องมีการปรับตัวและลดขนาดลง ที่น่าจับตาคือคลื่นความเปลี่ยนแปลง ข่าวด้านลบนี้ยังมีออกมาเรื่อยๆ สร้างความวิตกให้ประชาชนที่รับข่าวสารอยู่ไม่น้อย

การประท้วงของกลุ่มผู้ซื้อบ้านของโครงการอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งในจีน กลุ่มผู้ซื้อรวมตัวกันชูป้ายเรียกร้องให้บริษัทอสังหาฯรับผิดชอบ ข้อความในป้านผ้าเขียนว่า “ยืดเวลาส่งมอบบ้านมาแล้ว 8 เดือน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะส่งมอบบ้าน”  --ภาพจากสื่อจีน Baijiahao
- การล้มของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่ EVERGRANDE (เหิงต้า) เท่านั้นที่ล้มหรือกำลังจะล้ม ราคาอสังหาริมทรัพย์ในหลายเมืองลดลงอย่างหนัก แสดงถึงสินทรัพย์ของประชาชนมีมูลค่าลดลง ข่าวหยุดจ่ายเงินกู้ให้ธนาคารของประชาชนที่ซื้อบ้านในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศมีมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่กำลังก่อสร้างยังไม่มีการส่งมอบ เริ่มหยุดการก่อสร้างกลางคันจำนวนมาก ผู้เขียนขอยกตัวอย่างบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ของมณฑลเหอเป่ย ชื่อว่า ‘หลงจีไท่เหอ’ (隆基泰和) มีหลายโครงการในเขตมณฑลเหอเป่ยที่อยู่ดีๆ ก็หยุดสร้างไป ประชาชนที่จ่ายเงินซื้อบ้านไปมากมายเดือดร้อนเสียหาย รัฐบาลท้องถิ่นที่ได้รับการร้องเรียนส่วนใหญ่ช่วยได้แค่เป็นคนกลางเจรจาเท่านั้น คือช่วยไปกระตุ้นให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์รีบสร้างบ้านให้เสร็จและส่งมอบให้ประชาชน ในด้านของการคืนเงินจากบริษัทอสังหาฯ แทบเป็นไปไม่ได้เลยนอกจากว่าประชาชนต้องไปฟ้องร้องศาลกันเอาเอง อย่างตัวอย่างบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ‘หลงจีไท่เหอ’ นี้ได้มีข่าวออกมาแล้วว่าได้ทำการยื่นขอเป็นบริษัทล้มละลายแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันทางการยังไม่อนุมัติให้ล้มละลาย โครงการบ้านที่สร้างไม่เสร็จส่งมอบไม่ได้ในจีนมีข่าวออกมาเรื่อยๆ มีอยู่ทั่วประเทศทั้งโครงการใหญ่โครงการเล็ก ผู้เขียนมองว่านี่คือเรื่องใหญ่ที่ต้องจับตา

ประเด็นต่างๆ ที่ผู้เขียนยกขึ้นมาดังกล่าวข้างต้นคือส่วนที่เกี่ยวข้องกับปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง เป็นส่วนสำคัญที่สุดและมีความท้าทายที่สุด เพราะอะไรก็ตามที่กระทบต่อภาคเศรษฐกิจประชาชนจะส่งผลกระทบทำลายความเชื่อมั่นตามมา ธุรกิจลดการขยายตัว ลดการลงทุน คนลดการบริโภค ผู้เขียนเชื่อว่าไม่ใช่แค่จีนประเทศเดียวที่กำลังประสบปัญหาเหล่านี้ หลายประเทศทั่วโลกมีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเช่นกัน ต่างกันแค่การถดถอยมากหรือถดถอยน้อยเท่านั้น ดังนั้น กับเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ของจีนที่ 5.5% ต้องลุ้นกันดูว่าจะบรรลุกันได้ตามเป้าหมายหรือไม่ค่ะ


กำลังโหลดความคิดเห็น