xs
xsm
sm
md
lg

Exclusive หวนคืนแดนมังกร: จากสุวรรณภูมิถึงถิ่นมังกร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เที่ยวบินสู่เมืองจีนแอร์สาวสวมชุดป้องกันเชื้อมองไม่เห็นโฉมหน้า รัฐบาลจีนออกกฎเข้มปกปิดข้อมูลสุขภาพ เจตนาแพร่เชื้อ ต้องโทษประหารชีวิต

ถึงแม้การเดินทางเข้าประเทศจีนจะยุ่งยากดั่งฝ่ากำแพงเมืองจีน แต่ไม่น่าเชื่อว่า เที่ยวบินที่ราคาตั๋วแพงกว่าแสนบาทจะถูกจับจองหมดลงอย่างรวดเร็ว วันออกเดินทางผู้โดยสารที่ส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่รอกลับประเทศ ต่อแถวเช็กอินที่สนามบินสุวรรณภูมิยาวเหยียดนานกว่า 2 ชั่วโมง หลายคนสวมชุดป้องกันเชื้อเต็มพิกัด ไม่หวั่นอากาศแสนร้อนของเมืองไทย

ในการเช็กอินต้องยืนยันผลตรวจหาเชื้อ 3 ครั้ง พร้อมรหัสสุขภาพสีเขียวจากสถานทูต ซึ่งออกแบบให้มีนาฬิกานับเวลาถอยหลังตลอด จะจับภาพหน้าจอมาแสดงไม่ได้

นอกจากนี้ยังต้องลงทะเบียนประวัติสุขภาพล่วงหน้าอีกครั้ง เพื่อแสดงต่อด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งจีน แม้ว่าจะทำผ่านระบบออนไลน์ได้ แต่นับจากนี้ทุกอย่างจะต้องทำผ่านแอปพลิเคชัน Wechat เท่านั้น มีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษบ้าง แต่รายละเอียดส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน


สนามบินสุวรรณภูมิเริ่มกลับมาคึกคักหลังไทยเปิดประเทศ แต่นักท่องเที่ยวจีนยังไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ เช่นเดียวกับคนไทยที่เข้ามาจีนก็แทบจะนับคนได้

เที่ยวบินสู่จีน กำหนดเวลาขึ้นเครื่องไว้ล่วงหน้านานนับชั่วโมง เพราะต้องตรวจเอกสารที่ด้านประตูเครื่องอีกครั้ง ความเข้มงวดนี้เป็นเพราะ ทางการจีนตั้งกฎไว้ว่าหากสายการบินไหนมีผู้โดยสารติดเชื้อจะถูกระงับการบินเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมเที่ยวบินที่มีน้อยอยู่แล้ว

เที่ยวบินไร้บริการ แอร์สาวในชุดอวกาศ 

ที่หน้าประตูเครื่องบิน แอร์โฮสเตสที่ปกติจะสวมกี่เพ้าหรือชุดแบบจีน แต่ตอนนี้ทุกคนสวมชุดป้องกันเชื้อเต็มพิกัด มองไม่เห็นโฉมหน้าความสวย เที่ยวบินไปจีนจะงดบริการอาหารและเครื่องดื่ม และแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ระหว่างพนักงานวกับผู้โดยสาร ทุกคนต่างงีบหลับในชุดอบอ้าวด้วยความอ่อนเพลีย

เครื่องบินเดินทางถึงสนามบินประเทศจีนตามกำหนดการ แต่ต้องจอดรอฆ่าเชื้อและตรวจเอกสารนานพอสมควร ภาพที่เห็นเมื่อก้าวเข้าสู่สนามบินคือ รถฉุกเฉินที่จอดประจำการเรียงราย ทางเดินที่กั้นด้วยแผ่นพลาสติกทั้งผนังและเพดานตลอดเส้นทาง


ป้ายประกาศที่เขียนว่า “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” สะท้อนว่าสถานการณ์ขณะนี้คือเพื่อให้คนจีนกลับประเทศ ไม่ได้มุ่งรองรับชาวต่างชาติ

ป้ายถัดมาเขียนว่า “การปกปิดข้อมูลสุขภาพจะถูกขึ้นบัญชีดำในฐานข้อมูลความน่าเชื่อถือสาธารณะ (เครดิตพลเมือง) การต่อต้านไม่ตรวจเชื้อ ปฏิเสธไม่กักตัว เจตนาแพร่เชื้อ จะถือว่ามีความผิดฐานคุกคามความปลอดภัยสาธารณะ โทษสูงสุดประหารชีวิต”

สนามบินที่เคยรองรับผู้โดยสารหลายแสนคนต่อวัน วันนี้มีเพียงความว่างเปล่า และเสียงของเจ้าหน้าที่ตะโกนผ่านชุดปลอดเชื้อและเฟชชิลด์ว่า “เดินตรงไป ! ”


ด่านตรวจเชื้อตั้งสกัดอยู่กลางโถงสนามบินพร้อมป้าย “พื้นที่สีแดง” เจ้าหน้าที่จะให้เซ็นเอกสารยินยอมรับการตรวจเชื้อ จากนั้นจะตรวจเชื้อทางจมูก และแจกคิวอาร์โค้ดแผ่นจิ๋วที่ระบุประเทศและหมายเลขพาสปอร์ต พร้อมกำชับว่า “อย่าทำหายจนถึงขั้นตอนสุดท้าย”

หลังผ่านการตรวจเชื้อก็จะมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. ซึ่งในช่วงเวลาปกติจะแค่พลิกดูวีซ่า และประทับตราสีแดงให้ ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที

แต่คราวนี้ ทุกคนต้องพบกับคำถามมากมายและการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แม้เจ้าหน้าที่เห็นวีซ่าและหนังสือรับรองจากสถานทูตจีน แต่ก็ยังถามว่า “ต้นสังกัดคือใคร” “จะอยู่ในจีนนานเท่าไหร่” “ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเคยอยู่ในประเทศไหนมาบ้าง” “เปลี่ยนพาสปอร์ตใหม่ใช่ไหม” “ไม่ได้มาจีนนานแค่ไหนแล้ว” ฯลฯ

เจ้าหน้าที่หาข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่นาน และหันไปปรึกษากับหัวหน้า ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาถามอีกว่า “คุณเคยมาเรียนที่ประเทศจีนใช่ไหม"

นี่คือประวัติส่วนตัวเมื่อ 16 ปีก่อน ผู้เขียนเคยมาเรียนที่จีนเมื่อปี 2549 และได้เปลี่ยนพาสปอร์ตมาแล้ว 3 เล่ม นึกไม่ถึงว่าข้อมูลจะยังคงอยู่ในระบบของตม. จีน


ตม. จีนยังเตรียมเครื่องแปลภาษาไว้สำหรับชาวต่างชาติ โดยแปลเป็นภาษาไทยได้ด้วย ในเที่ยวบินเดียวกันมีนักการทูตจากนอร์เวย์ ซึ่งก็ไม่ได้รับอภิสิทธิ์แต่อย่างใด แม้แต่ชาวจีนเองก็ถูกซักไซ้มากมาย เช่น “อยู่เมืองไทยทำอะไร” “นายจ้างเป็นคนจีนหรือต่างชาติ” “ทำไมเพิ่งกลับจีนตอนนี้” “จะกลับออกไปอีกไหม” “ฉีดวัคซีนหรือยัง” และยังถูกตรวจข้อมูลจากบัตรประชาชนอย่างเข้มงวด

เมื่อได้รับตราประทับเข้าเมืองก็ไปรอรับกระเป๋า พร้อมกับเสียงประกาศว่า “กระเป๋าทุกใบกำลังผ่านการฆ่าเชื้อ” หลังจากรอนานกว่า 1 ชั่วโมง กระเป๋าก็เคลื่อนมาตามสายพานในสภาพ “ชุ่มโชก” ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ


สุขาอยู่หนใด ?

ระหว่างรอกระเป๋า ผู้โดยสารหลายคนอยากจะเข้าห้องน้ำ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า ห้องน้ำทั้งสนามบินปิดหมด มีแค่ห้องน้ำที่ทางเดินลงจากเครื่องบินจุดเดียวเท่านั้น แต่ด่านตม. และด่านตรวจโรค ไม่ให้เดินย้อนกลับไป เจ้าหน้าที่บอกว่า “ขอให้อดทนจนถึงโรงแรมที่กักตัว”....แต่เรื่องอย่างนี้ใครจะทนไหว

หลังถูกผู้โดยสารที่อั้นทุกข์ต่อว่า "ทำไมจึงไม่แจ้งเตือนว่าทั้งสนามบินมีห้องน้ำที่เดียว"❗️ เจ้าหน้าที่จึงยอมให้เดินย้อนกลับไปยังห้องน้ำแห่งเดียวในสนามบินได้ แต่เจ้าหน้าที่ต้องตามไปตลอด

ถึงแม้ผู้โดยสารจะหงุดหงิดกับความยุ่งยาก แต่ก็เห็นใจเจ้าหน้าที่ที่บอกว่า “เมื่อสวมชุดป้องกันเชื้อแล้ว ไม่ได้เข้าห้องน้ำตลอดทั้งวัน”

นับจากลงเครื่องบินจนเสร็จสิ้นกระบวนการที่สนามบินใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมง หลังจากนี้ทุกคนจะเดินทางโดยรถบัสไปยังโรงแรมกักตัว ต้องใช้ชีวิตแบบ “ห้ามก้าวขาพ้นประตูห้อง” อีกนาน 14 วัน.

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


กำลังโหลดความคิดเห็น