รอยเตอร์ – ทูตสหรัฐฯ คาด นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์”ในกรุงปักกิ่งอยู่ยาวถึงต้นปีหน้า พร้อมกับวิจารณ์จีนว่าเป็นฝ่ายก้าวร้าว มิใช่สหรัฐฯ
นาย นิโคลัส เบิร์นส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงปักกิ่ง กล่าวผ่านระบบการประชุมทางไกลในงานของสถาบันบรูกกิงส์ (Brookings Institution ) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจการเมืองและการต่างประเทศของสหรัฐฯเมื่อวันพฤหัสฯ (16 มิ.ย.) โดยคาดการณ์ว่า กรุงปักกิ่งจะบังคับใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ต่อไปจนถึงต้นปี2566 ซึ่งนายเบิร์นส์ระบุว่า รัฐบาลจีนกำลังส่งสัญญาณเช่นนั้น ทำให้บริษัทสหรัฐฯ ลังเลเข้าไปลงทุนบนแดนมังกร จนกว่าจีนจะมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 แพร่ระบาดที่เข้มงวดแล้วเท่านั้น
ทั้งนี้ การพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 อีกครั้งในกรุงปักกิ่งก่อความวิตกกังวลกันรอบใหม่ เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก หลังจากกรุงปักกิ่งเพิ่งยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์เมื่อเร็ว ๆ นี้ นโยบาย
“โควิดเป็นศูนย์” ของรัฐบาลจีนคือการกำจัดการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน ที่พบใหม่ในทันที และมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งมีการบังคับใช้เป็นระยะเวลานานในกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในโลก
ด้านนักวิเคราะห์ต่างมองว่า หากจีนยังไม่เลิกใช้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวก็ยากจะบรรลุเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ จีดีพี ที่ร้อยละ 5.5 ตามที่ปักกิ่งตั้งไว้
นอกจากนั้น นายเบิร์นส์ยังวิจารณ์รัฐบาลจีน กรณีสุนทรพจน์ว่าด้วยนโยบายของสหรัฐฯต่อจีน ของนาย แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ถูกทางการจีนถอดออกจากเวยปั๋ว และวีแชต ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสื่อสังคมออน์ไลน์ในประเทศ ทั้งๆที่รัฐบาลสหรัฐฯ คาดหวังว่าปักกิ่งจะยึดมั่นต่อกฎระเบียบของสากลก็ตาม
จากการเปิดเผยของนายเบิร์นส์นั้น มีการประเมินกันบางอย่างภายในรัฐบาลจีนว่า สหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงขาลง จึงแสดงความก้าวร้าวต่อจีนมากขึ้น นายเบิร์นส์ชี้ว่า เป็นการประเมินที่ไม่ถูกต้อง และเป็นเพียงข้อกล่าวอ้าง
“ผมคิดว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือพฤติกรรมก้าวร้าว ที่เพิ่งเกิดขึ้นของรัฐบาลจีนในช่วง 5 -10 ปีที่ผ่านมาต่างหากและคุณจึงได้เห็นปฏิกิริยาตอบโต้ต่อความก้าวร้าวนั้น” นายเบิร์นส์กล่าว