กลุ่มสื่อจีนรายงาน (16 มี.ค.) นายหวง ซีฮวา รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนเสนอโครงการนำร่องเดินทางขาเข้าและขาออก โดยคัดเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมีพื้นฐานที่ดีสำหรับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด เพื่อเป็นพื้นที่นำร่องภายใต้โครงการ "แซนด์บ็อกซ์"
รายงานระบุว่า โครงการนำร่องเสนอให้เปิดการท่องเที่ยวที่เกาะไหหลำในมณฑลไห่หนาน เกาะฉงหมิงในนครเซี่ยงไฮ้ และเกาะโจวซานในมณฑลเจ้อเจียง
แม้การเดินทางในช่วงนำร่องจะแตกต่างจากการเดินทางอย่างเสรีก่อนเกิดโรคโควิด-19 อยู่บ้าง แต่ก็เป็นสัญญาณเชิงบวกในค่อยๆ ยกเลิกข้อจำกัดและนำไปสู่การเปิดประเทศของจีน
ที่ผ่านมา จีนมีมาตรการจำกัดการเดินทางข้ามพรมแดนอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างใหญ่หลวง การไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างจำกัด
สถิติการท่องเที่ยวจีนในปี 2564 ระบุว่า จีนมีจำนวนการท่องเที่ยวในประเทศรวม 3.246 พันล้านครั้ง มูลค่าการท่องเที่ยวรวม 2.92 ล้านล้านหยวน ซึ่งจะฟื้นตัวร้อยละ 54.0 และ 51.0 จากปี 2562 และ 2563 ตามลำดับ
ปัจจุบัน มัคคุเทศก์หรือบริษัทนำเที่ยวที่เคยเน้นการเดินทางต่างประเทศส่วนใหญ่ได้หายไปแล้ว บริษัทนำเที่ยวบางแห่งล้มละลาย บางแห่งกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางเข้าออกประเทศ จีนต้องพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงนโยบายวีซ่า มาตรการพิธีการทางศุลกากร ปรับปรุงระบบการชำระเงิน ฯลฯ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ สำนักงานการบินพลเรือนจีนได้ประกาศแผนพัฒนาการบินพลเรือนระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 โดยจะฟื้นฟูการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศในปี 2566-2568 โดยแบ่งแผนออกเป็น 2 ช่วงเวลา ได้แก่ ช่วงปี 2564-2565 จีนจะพยายามควบคุมและป้องกันโควิด-19 รวมถึงปฏิรูปและกำหนดมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถปลดล็อก "พลวัตแห่งการพัฒนา" ได้ในภายหลัง และช่วงปี 2566 ถึง 2568 เป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโต โดยมีเป้าหมายในการขยายตลาดภายในประเทศและฟื้นฟูตลาดต่างประเทศ