xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights&:การแต่งงานและประเด็นเงินสินสอดในจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


การเรียกร้องเงินสินสอดที่สูงลิ่วในจีน ส่งผลกระทบต่ออัตราการแต่งงาน (ภาพ Weibo)
ร่มฉัตร จันทรานุกูล มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจระหว่างประเทศ(UIBE) วิทยาลัยนานาชาติ(SIE) กรุงปักกิ่ง


ในวันนี้ผู้เขียนอยากจะมาเล่าสู่กันฟังในประเด็นที่เกือบจะเกี่ยวข้องกับทุกคนในสังคมปัจจุบันนั่นก็คือประเด็นการแต่งงานมีครอบครัว สำหรับคนรุ่นใหม่แล้วการแต่งงานเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กแต่ก็ไม่เล็กซะทีเดียว ผู้เขียนพบว่าทัศนคติการแต่งงานของคนเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อย่างทุกวันนี้สังคมมีความเป็นอิสระและความเท่าเทียมมากขึ้น ผู้หญิงได้รับการศึกษามากขึ้น ออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น

ทัศนคติด้านการแต่งงานมีคู่ครองของจีนมีความโดดเด่นหนึ่งคือ ครอบครัวจะมีบทบาทอย่างมากกับการแต่งงาน ซึ่งตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ โดยจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความต้องการด้านวัตถุและเงื่อนไขในการแต่งงานมีมากขึ้น ทำให้ในสังคมจีนเกิดดราม่าและไวรัลในโซเซียลมากมายเกี่ยวกับประเด็นการแต่งงาน โดยเฉพาะเรื่องของเงินสินสอดที่ในหลายพื้นที่ส่วนใหญ่ของจีนก็ยังเป็นธรรมเนียมที่ต้องให้และยึดถือปฎิบัติกันอยู่ ยุคสมัยนี้ครอบครัวที่มีลูกชายเหมือนต้องเตรียมความพร้อมและต้องคิดเตรียมตัวมากกว่ามีลูกสาว โดยมีชายชาวปักกิ่งได้โพสต์ในเว็บไซต์แชร์ประสบการณ์การจะได้แต่งงานของตัวเอง โดยเล่าว่าแฟนสาวเป็นคนเจียงซี ได้คบกันมาระยะหนึ่งแล้วตกลงที่จะคุยกันเรื่องแต่งงาน แฟนสาวบอกว่าธรรมเนียมของที่บ้านเกิดเงินสินสอด 2 แสนหยวน(ประมาณ 1 ล้านบาท) ก็พอโดยตอนแต่งไปแล้วเงินจำนวนนี้ทางพ่อแม่จะคืนให้เป็นเงินตั้งตัวของทั้งสองคน ถึงเวลาไปเจอครอบครัวฝ่ายหญิงจริงๆถูกเรียกค่าสินสอดถึง 6 แสนหยวนหรือประมาณ 3 ล้านบาทและเงินสินสอดนี้ไม่รวมบ้านที่ปักกิ่งหนึ่งหลังด้วย ไปๆมาๆต้องได้เลิกกันเพราะคุยกันเรื่องแต่งงานไม่ลงตัว ตัวอย่างแบบนี้มีมานักต่อนักในจีน

DATAGOO สถาบันวิจัยเอกชนจีนเปิดเผยข้อมูลด้านการแต่งงานของคนจีนยุคนี้ไว้ว่า ใน 31 มณฑลเงินหมั้นสินสอดมีค่าเฉลี่ยที่ 88,000 หยวน หรือประมาณ 4.4 แสนบาท ในจำนวนนี้มี 8 มณฑลที่ต้องเพิ่มบ้านด้วยหนึ่งหลัง และมีอีก 3 มณฑลที่ต้องเพิ่มบ้านและรถยนต์ ส่วนมณฑลที่เรียกเงินสินสอดมากที่สุดได้แก่ เจียงซีกับฝูเจี้ยน มีค่าเฉลี่ยที่ 2.5 แสนหยวนหรือ 1.25 ล้านบาท จากรายงานชิ้นนี้แสดงว่าปักกิ่งและทิเบตไม่มีการรับเงินสินสอด ในส่วนของสาเหตุที่ทำให้เงินสินสอดในจีนสูงลิบมาจากหลายปัจจัยด้วยกันได้แก่ ความเชื่อในพื้นที่มีผลอย่างมากคือ 64.08% รองลงมาคือการแข่งขันเปรียบเทียบกันในชุมชนมีผลที่ทำให้เงินสินสอดสูง 51.41% ต่อมาคือการรักในหน้าตาของตนเองมีอิทธิพลถึง 42.25% สุดท้ายคือเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทำให้เงินสินสอดก็มากตามมีอิทธิพลอยู่ 26.06%

และหากท่านผู้อ่านได้ติดตามข่าวในจีนอยู่เสมอจะทราบว่าทางรัฐบาลจีนพยายามผ่อนคลายนโยบายการมีบุตรจากผ่อนคลายให้มีลูกสองคนไปแล้ว ขณะนี้ก็สนับสนุนให้มีลูกสามคนและเรื่องของการลดหย่อนภาษีก็มีสิทธิลดหย่อนให้ครอบครัวที่มีบุตรเยอะ ทั้งนี้ยังพยายามจะออกกฎหมายเกี่ยวกับเงินสินสอดในประเทศที่สูงจนเกินไป ทำให้การแต่งงานของคนรุ่นใหม่เป็นอุปสรรค เพราะไม่ใช่แค่เงินสินสอดเท่านั้นที่เป็นตัวปัญหา ราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนก็เพิ่มขึ้นไปสูงในอัตราที่เร็วกว่าการขึ้นของเงินเดือน ทำให้การแต่งงานในยุคปัจจุบันต้องมีอุปสรรคหลายด้าน ในประเด็นนี้ต่อเนื่องจากการสำรวจกลุ่มวัยทำงานอายุต่ำกว่า 35 ปีจำนวน 1,500คนจากสถาบัน DATAGOO แสดงว่า มีคน 34.51% คิดว่าเงินสินสอดไม่ควรยกเลิกแต่ควรจะจำกัดเพดาน อีก 33.1% คิดว่าจะยกเลิกหรือไม่ก็ได้ ต่อมา 10.56% มองว่าไม่ควรมีเงินสินสอดและ 21.83% ควรยกเลิกเงินสินสอดไปเลย โดยคนส่วนใหญ่ที่มองว่ายังควรมีให้สินสอดอยู่เหตุผลหลักๆคือการแสดงถึงความสำคัญของฝ่ายหญิงและให้ความเคารพกับครอบครัวของฝ่ายหญิง

ในเรื่องของทัศนะคติเกี่ยวกับการแต่งงานจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีความเชื่อที่ว่า “门当户对” อ่านว่า เหมินตางหู้ตุ้ย หมายถึงคู่แต่งงานที่สองครอบครัวมีความเหมาะสมกัน ว่ากันตรงๆคือมีฐานะเท่าเทียมกันนั่นเอง

บริษัทแห่งหนึ่งในจีนจัดกิจกรรมนัดบอดให้กับพนักงานโสดให้มาเจอกัน (ภาพ Weibo)
คนในยุคก่อนหน้าจะเชื่อว่าการแต่งงานคือ “ความสมบูรณ์ของชีวิต” ดังนั้นในปัจจุบันนี้สังคมจีนจะยังคงมีปัญหาวุ่นๆเกี่ยวกับความเห็นต่างด้านการแต่งงานมีครอบครัว โดยแบ่งเป็นประเด็นคร่าวๆได้ดังนี้

- คนอายุ 30 กว่าที่ยังไม่แต่งงานจะถูกพ่อแม่รบเร้ามากเพราะพ่อแม่ของคนกลุ่มนี้มองว่าการแต่งงานคือความสมบูรณ์ของชีวิต ในขณะที่คนวัยนี้ของจีนจำนวนมากยังอยากใช้ชีวิตของตัวเองเพราะมีทางเลือกหลายด้านตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

- เพราะความกดดันจากสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้คนยุคใหม่จำนวนหนึ่งเลือกที่จะนอนราบหรือปล่อยวางทุกอย่าง ไม่ขวนขวายอะไรอีกต่อไปรวมไปถึงการหาคู่แต่งงานด้วย

และหากคนจีนรุ่นใหม่นี้จะมีคู่ 90% คือการหาคู่แบบที่ตัวเองถูกใจ แน่นอนว่าเรื่องของฐานะทางสังคมก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการหาคู่ในยุคปัจจุบัน อย่างคำยอดฮิตที่ว่า “钱不是万能但没钱万万不能” เฉียนปู้ชื่อว่านเหนิงต้านเหมยเฉียนว่านว่านปู้เหนิง แปลได้ว่า เงินไม่ใช่ทุกอย่างแต่หากไม่มีเงินอะไรก็ทำไม่ได้ ก็คือการจะมีคู่ครองในโลกยุคปัจจุบันจะดูแต่เรื่องความรัก ความถูกใจชอบพอ คงไม่เพียงพออีกต่อไป เรื่องเงินและทรัพย์สินของทั้งสองฝ่ายยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของการตัดสินใจการคบหาไปจนถึงการตัดสินใจแแต่งงานด้วย

ผู้เขียนเคยได้คุยกับคุณยายคนจีนอายุ 62 ปีเล่าให้ฟังว่า สมัยที่แต่งงานไม่ต้องมีอะไรเยอะเหมือนกับสมัยนี้ แค่คนสองคนชอบพอกัน พอแต่งงานที่ทำงานแบ่งบ้านให้หนึ่งหลังไว้เป็นเรือนหอ เงินสินสอดก็คือค่าเฟอนิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน มีแค่ทีวี ตู้เย็น จักรยานหนึ่งคันไว้ไปทำงาน ก็หรูหราแล้วไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้น ชีวิตเรียบง่ายสบาย เงินเดือนรวมกับสามีเดือนละไม่กี่ร้อยหยวนก็ไม่ขัดสนอะไร ทุกวันนี้คุณยายท่านนี้ก็ยังเป็นห่วงลูกชายคนเดียวอายุ 40 ปีที่ยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว ซึ่งผู้เขียนก็พอทราบมาว่าลูกชายของคุณยายท่านนี้มีคบหาผู้หญิงมาเยอะพอควรแล้วแต่ก็ยังไม่มีคนที่เหมาะสม เท่าที่ทราบคือลูกชายคุณยายท่านนี้ทำงานอยู่ในปักกิ่งแต่จนปัจจุบันก็ยังไม่มีบ้านของตัวเองสักหลังและศักยภาพของครอบครัวคุณยายก็มีเงินไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้ลูกชายซื้อบ้านในปักกิ่งได้ นี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลหลักที่ทำให้ลูกชายคุณยายหาคู่ครองเพื่อที่จะแต่งงานไม่ได้สักที

เรื่องราวนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนปัญหาสังคมการแต่งงานของคนจีนในยุคปัจจุบัน ความย้อนแย้งของยุคสมัยมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงความคิดของคนในสังคมยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วบวกกับภาระอันหนักอึ้งที่คนรุ่นใหม่ยังต้องยึดถือจากธรรมเนียมปฎิบัติอย่างเรื่องสินสอด บ้าน รถยนต์ ที่เป็นสิ่งจำเป็นต้องมียามแต่งงาน


กำลังโหลดความคิดเห็น