xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องราวเล่าขาล : ‘ตราพยัคฆ์’ เครื่องบ่งชี้ ‘อำนาจทหาร’ ของราชสำนัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


(แฟ้มภาพซินหัว : ตราอาญาสิทธิ์รูปพยัคฆ์ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มณฑลส่านซี)
หากใครมีโอกาสเดินทางมาเยือนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มณฑลส่านซี ก็จะได้ชมโบราณวัตถุชิ้นหนึ่งที่ชาวจีนเรียกกันว่า “ตู้หู่ฝู่” (杜虎符) หรือ “ตราอาญาสิทธิ์รูปพยัคฆ์” ประเภทหนึ่ง โดยเสือตัวเล็กๆ ในภาพนี้ คือ สัญลักษณ์ของอำนาจทางการทหาร ที่ถูกใช้เป็นเครื่องแสดงหลักฐานในการเคลื่อนพลของชาวฉินในยุครณรัฐ หรือ จ้านกว๋อ (475-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช) หรือเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน

ในช่วงทศวรรษ 1970 ชาวนาจีนคนหนึ่งในพื้นที่ตอนใต้ของนครซีอัน ได้บังเอิญพบตราพยัคฆ์ดังกล่าวในทุ่งนา หลังจากนั้นหลายปีถัดเขาก็พบว่า บนตัวพยัคฆ์มีอักขระสีทอง จึงทำการส่งมอบให้ทางการ

ตราพยัคฆ์ เปรียบเสมือนใบรับรอง เพื่อยืนยันคำสั่งการจัดสรร หรือ เคลื่อนกำลังพล โดยตัวพยัคฆ์แบ่งออกเป็นส่วนซ้ายและส่วนขวา ส่วนขวาจะถูกเก็บรักษาไว้ โดยกษัตริย์ผู้ครองแคว้น ขณะที่ส่วนซ้ายจะมอบให้แก่แม่ทัพ ซึ่งก่อนการระดมกำลังทหารนั้นจะต้องนำตราพยัคฆ์ส่วนซ้ายและส่วนขวามาประกบดูก่อนว่าตรงกันหรือไม่

ตราพยัคฆ์ดังกล่าว มีความยาว 9.5 เซนติเมตร สูง 4.4 เซนติเมตร อยู่ในท่าเดิน เชิดหัว ม้วนหาง ด้านหลังมีร่องสำหรับประกบ และมีรูเล็กๆ รูหนึ่งที่บริเวณคอ บนลำตัวมีอักษรสีทอง 40 ตัว รวม 9 บรรทัด

อักษรเหล่านี้ บ่งชี้ว่าตราดังกล่าวถูกใช้งาน โดยแม่ทัพในพื้นที่ที่เรียกว่า "ตู้ตี้" ในสมัยฉิน จึงเป็นที่มาของชื่อ “ตู้หู่ฝู่” โดยแม่ทัพจะเป็นผู้ถือส่วนซ้ายเอาไว้ ขณะที่ผู้ครองแคว้นจะถือส่วนขวา นอกจากนี้อักษรยังเขียนว่าหากต้องการเคลื่อนพลทหารมากกว่า 50 นาย จำเป็นต้องได้รับการยืนยันว่า พยัคฆ์ทั้งสองส่วนมีความสอดคล้องกัน เว้นแต่จะเกิดเหตุฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ว่าตรานี้อาจเกี่ยวโยงกับคำว่า “符合” (ฝู่เหอ-แปลตรงตัวว่าตราประกบกัน) คำศัพท์จีนที่ใช้ทั่วไปในปัจจุบันซึ่งมีความหมายว่า “ตรงกัน” “สอดคล้องกัน” อีกด้วย

ผู้อำนวยการฝ่ายงานบริหารโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซี เฮ่อต๋าซิน กล่าวว่า การใช้ตราทางทหาร เพื่อเป็นเครื่องยืนยันการเคลื่อนพลทหารนั้นมีมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์จีน และมีเรื่องราวที่เล่าขานกันทั่วไปเช่นเรื่องของซิ่นหลิงจวินอนุชาเจ้าแคว้นเว่ยที่ขโมยตราพยัคฆ์เพื่อช่วยรัฐจ้าว นอกจากนี้ตู้หู่ฝู่ของพิพิธภัณฑ์ฯ ยังถือเป็นตราทหารสมัยโบราณที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยพบมาจวบจนถึงปัจจุบัน

เฮ่อกล่าวว่า การตีความอักษรบนตัวพยัคฆ์ แสดงให้เห็นว่าในสมัยรณรัฐนั้น กำหนดให้ฝั่งขวามีศักดิ์สูงกว่าฝั่งซ้าย รวมทั้งยังบ่งบอกว่ารัฐฉินในขณะนั้น มีอำนาจทางทหารค่อนข้างสูง

การใช้ตราสัญลักษณ์รูปสัตว์ ไม่ได้พบแค่ในกิจการทหารเท่านั้น หากยังใช้เป็นบัตรประจำตัว หรือ ใบรับรองการเข้า-ออกในเวลาต่อมา และนอกจากตราพยัคฆ์แล้วก็ยังมีตราอื่นๆ เช่น ตรามัจฉา และตรารูปเต่า

เมื่อไม่นานนี้ นักโบราณคดีในส่านซี ได้ค้นพบหลุมฝังศพประจำตระกูลขุนนางสมัยราชวงศ์ถังในเมืองเสียนหยาง โดยพบว่าในหลุมศพของขุนนาง ผู้มีนามว่า หยางเฉวียนเจี๋ย ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน มีตรามัจฉา ซึ่งใช้สำหรับเข้าออกวังหลวง นับว่าพบได้ยากนัก

นอกเหนือจากคุณค่าด้านการศึกษาประวัติศาสตร์แล้ว ตราพยัคฆ์นี้ยังมีคุณค่าทางด้านวิจิตรศิลป์ เพราะความประณีต ชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านการผลิตโลหะในช่วงปลายยุครณรัฐ ตลอดจนกรรมวิธีที่เรียกว่า “ชั่วจิน” หรือ การแกะสลักร่องบนพื้นผิววัตถุก่อนปิดทองและขัดให้มันวาว

ปัจจุบัน ตราพยัคฆ์ ซึ่งเคยเป็นตัวแทนของอำนาจของราชสำนักและผู้นำกองทัพ ได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์และมีลูกเล่นสนุกๆ มากมายเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนวัยหนุ่มสาว เช่น บิสกิตตราพยัคฆ์ ที่คั่นหนังสือตราพยัคฆ์ เป็นต้น


ภาพ/ข่าว โดยสำนักข่าวซินหัว 6 ก.พ. 2022


กำลังโหลดความคิดเห็น