เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ – จีนอัดเม็ดเงินการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีแผนขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเพิ่มอีก 12,000 กิโลเมตรภายใน 3 ปีข้างหน้า หวังยับยั้งเศรษฐกิจชะลอตัว
ภายใต้แผนการพัฒนาด้านการขนส่งระยะ 5 ปีฉบับใหม่ ซึ่งรัฐบาลปักกิ่งประกาศเมื่อวันอังคาร ที่ 18 ม.ค. จีนจะขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ออกไปอีกเกือบร้อยละ 32 หรือ 12,000 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้เส้นทางรถไฟความเร็วสูงบนแดนมังกรมีระยะทางรวมทั้งสิ้น 50,000 กิโลเมตร ภายในปี พ.ศ. 2568
การขยายทางรถไฟความเร็วสูงตามเป้าหมายดังกล่าว นับเป็นการขยายทางรถไฟ ที่มีความยาวพอ ๆ กับความยาวของเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง ของ 5 ชาติรวมกัน คือสเปน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และฟินแลนด์ ซึ่งมีระยะทางรวมกันในปีที่แล้ว 11,954 กิโลเมตร จากข้อมูลของสหภาพการรถไฟระหว่างประเทศ (International Union of Railways) ซึ่งเป็นหน่วยงานอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางระหว่างประเทศ มีสำนักงานใหญ่ในกรุงปารีส ของฝรั่งเศส
เมื่อสิ้นปีพ.ศ. 2564 จีนมีทางรถไฟความเร็วสูงระยะทางไกล 38,000 กิโลเมตร ซึ่งเกินมา 8,000 กิโลเมตร จากเป้าหมายที่ปักกิ่งตั้งไว้ในแผนพัฒนาด้านการขนส่งฉบับปีพ.ศ. 2560
กระนั้นก็ตาม ในแผนการพัฒนาด้านการขนส่งฉบับใหม่ยังคงระบุว่า จีนยังมีการพัฒนาระบบการขนส่งในประเทศอย่างไม่เพียงพอ และไม่สมดุล โดยยังขาดเส้นทางรถไฟ ที่เชื่อมระหว่างเมืองและเส้นทางรถไฟ ที่วิ่งแถบชานเมือง ในกลุ่มเมืองหลักและในเขตมหานคร
แผนขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลได้หันมาพึ่งพาการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจแดนมังกร ที่กำลังชะลอตัว ดังที่ปักกิ่งได้ให้คำมั่นไว้ เพื่อหนุนการเติบโตของจีดีพีในปีนี้
ในมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์นั้น การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัยพ์ ที่อ่อนแอลง มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว
นอกจากนั้น แผนการพัฒนาด้านการขนส่งระยะ 5 ปีฉบับใหม่ ยังมุ่งขยายการใช้ระบบดาวเทียมนำร่องเป่ยโต่วในภาคการขนส่งภายในประเทศ ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้สำหรับการขนส่งสินค้าทางเรือและทางบกในทั่วโลกอีกด้วย
พร้อมกับให้มีการควบคุมข้อมูลด้านการขนส่งอย่างเข้มงวดและมีมาตรฐานมากขึ้น เพื่อป้องกันการเติบโตอย่างไร้ระเบียบของธุรกิจให้บริการเรียกรถแท็กซีผ่านแอปป์ในโทรศัพท์มือถือ โดยทั้งหมดนี้ก็เพื่อการพึ่งลำแข้งตัวเองด้านเทคโนโลยี และเพื่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญในลำดับต้น ๆ ของรัฐบาลจีน