สื่อต่างประเทศรายงาน (6 ต.ค.) ด้วยว่า สงครามการค้าจีน-อเมริกาที่ สหรัฐฯ วางหมากยืดเยื้อมากว่า 3 ปีครึ่งแทนที่จะทำให้เศรษฐกิจจีนอ่อนแอ แต่กลับกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นไปอีก เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจอเมริกา
นอกจากนี้ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ไทเปรายงานว่า นับจากวันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น เครื่องบินรบของจีนได้บินล้ำเขตแสดงตนทางอากาศของไต้หวันทุกวัน ๆ ละหลายสิบลำ รวมแล้วในช่วง 4 วันที่ผ่านมามีจำนวนถึง 148 ลำ
สองชาติคงเชื่อเช่นกันว่า การจะเดินหมากซ้ำ ๆ เพื่อหวังผลเปลี่ยนแปลงคงเป็นไปไม่ได้ ล่าสุด วันที่ 4 ตุลาคม “ไบเดน” เผยว่าคุยกับ “สี” แล้ว ภายหลังสถานการณ์เรื่อง “ไต้หวัน” เพื่อหาจุดที่สามารถเห็นพ้องกันได้ นอกจากนี้ ไบเดนยังหมายรวมถึงการหารือทางโทรศัพท์กับสีนาน 90 นาทีเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งสองฝ่ายต้องการรับประกันว่า การแข่งขันระหว่างสองชาติ จะไม่เป็นการขยายความขัดแย้ง
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และความเห็นพ้องนั้นคือ ตกลงกันว่า จะปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับไต้หวันซึ่งประเทศทั้งสองได้ทำกันไว้ต่อไป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า สหรัฐฯ ก็คงยอมรับ “นโยบายจีนเดียว” และถอยความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทเป รวมถึงกฎหมาย “รัฐบัญญัติความสัมพันธ์กับไต้หวัน” ที่ใช้แนวทางสันติวิธี
วันต่อมา (6 ต.ค.) ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ยังได้นัดหมายหารือกับนักการทูตของจีน เพื่อยกระดับการติดต่อสื่อสารและปรับความสัมพันธ์
ไต้หวันซึ่งอ้างตลอดมาว่าเป็นตัวแทนของประเทศจีนแต่ผู้เดียว วางตัวว่ามีการปกครองของตนเองอย่างเป็นอิสระ (สาธารณรัฐจีน) รวมทั้งจะปกป้องเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตยของตนเอง
ทว่าในความเป็นจริงกลับไม่ได้รับการยอมรับในความเป็นรัฐจากนานาชาติ อีกทั้งที่เคยรับรองฯ ก็รับรองลดน้อยลงเรื่อยๆ
ขณะที่ จีนยืนหยัดถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน ซึ่งจะต้องกลับมารวมกับแผ่นดินใหญ่ และจะใช้กำลังเข้ายึดหากจำเป็น
ทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ว่า เจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ มีแผนหารือกับ หยาง เจียฉือ สมาชิกกรมการเมืองและผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
การพบกันครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกนับจากครั้งล่าสุดที่ ซุลลิแวน กับ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ใช้ท่าทีตอบโต้กับหยาง และ หวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน อย่างไม่ไว้หน้ากัน เมื่อเดือนมีนาคมที่รัฐอะแลสกา จนสัมพันธ์ตกต่ำสุดขีด ที่แม้ขณะนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น
ทิศทางที่ดูมีความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งคือ การเจรจาเรื่องที่ปักกิ่งล้มเหลวในการปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีนเฟสหนึ่ง และยุตินโยบายอุตสาหกรรมที่อันตรายต่อชาติอื่น ตามที่ตกลงไว้ในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ตาม ไบเดนยังเดินหน้าผลักดันแผนฟื้นโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันกับจีน ทำให้ อีแวน เมเดรอส ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียในคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา และผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า การนัดพบหารือระหว่างเจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ กับ หยาง เจียฉือ ที่ซูริก คงไม่ได้เพื่อปรับความสัมพันธ์ แต่เป็นการตกลงเกี่ยวกับขอบเขตในการแข่งขันจริงจังมากขึ้น ในลักษณะที่จะไม่เป็นการขยายความขัดแย้ง