ข่าวใหญ่ในจีนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมิ่ง หว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของหัวเหวย บินกลับบ้านมาตุภูมิหลังจากที่จีนและสหรัฐอเมริกาบรรลุข้อตกลงยุติการดำเนินคดีเมิ่ง หว่านโจวในวันศุกร์ที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา
เมิ่ง หว่านโจว นอกจากเป็น CFO ของหัวเหวย เทคโนโลยีส์ (Huawei Technologies) ยังเป็นบุตรสาวคนโตของ เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเหวย เธอถูกจับกุมตัวระหว่างที่แวะเปลี่ยนเครื่องที่ท่าอากาศยานนานาชาติแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาในวันที่ 1 ธ.ค.2018 โดยการจับกุมนี้เป็นไปตามหมายจับของสหรัฐฯในข้อกล่าวหาฉ้อโกงธนาคาร ชี้นำธนาคารเอชเอสบีซี โฮลดิ้ง ในทางที่ผิดเกี่ยวกับธุรกรรมของหัวเหวยในอิหร่าน เป็นเหตุให้เอชเอสบีซี ละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
ด้าน เมิ่ง ยืนกรานว่าเธอไม่ได้กระทำผิดและขอต่อสู้คดี นับจากนั้นมาก็ถูกกักบริเวณภายในบ้านที่แคนาดามาตลอดจนถึงวันเดินทางกลับบ้านในวันศุกร์ที่ผ่านมา รวมเวลา 1,028 วัน
เมิ่ง หว่านโจว เดินทางออกจากแคนาดาทันทีในวันที่ได้รับการปล่อยตัว และได้นั่งเครื่องบินเช่าเหมาลำที่รัฐบาลจีนจัดส่งมารับเธอกลับบ้าน เมิ่งมาถึงสนามบินนานาชาติเป่าอัน ณ นครเซินเจิ้น เมื่อเวลาประมาณ 22.12 น.ของวันถัดมา เมิ่งในชุดเดรสสีแดงสดเดินลงจากเครื่องบินก้าวลงเหยียบแผ่นดินแม่บนพรมแดง รับช่อดอกกุหลาบแดงดั่งสีเลือด เดินมาพบปะกับกลุ่มผู้ต้อนรับนับร้อยคนที่ชูธงชาติจีนพลางร้องตระโกน “ยินดีต้อนรับ เมิง หว่านโจว กลับบ้าน
เมิงเดินมาพบปะกับกลุ่มผู้ต้อนรับและกล่าวปราศรัยสั้นๆ...ขอบคุณพรรคฯ และประเทศชาติที่ได้ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยให้เธอได้รับการปล่อยตัวและกลับบ้าน
“ในที่สุด ฉันได้กลับสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิ และเน้นคำ “มาตุภูมิ ลูกได้กลับบ้านแล้ว...ณ ดินแดน ที่มี ‘ธงห้าดาว’ ก็มีหอคอยแสงไฟแห่งศรัทธา ...หากศรัทธามีสี สีนั้นก็คือ สีแดงแห่งชาติจีน” บางส่วนของคำปราศรัย เมิ่ง หว่างโจว ที่รันเวย์ สนามบินนานาชาติเป่าอัน นครเซินเจิ้น ซึ่งจบลงด้วยการร่วมร้องเพลง “สรรเสริญมาตุภูมิ” 《歌唱祖国》
จากภาพที่จีนจัดการดูแลการเดินทางและพิธีต้อนรับเมิ่งกลับบ้านครั้งนี้เรียกได้ว่าจัดเต็มเกียรติยศเยี่ยงวีรสตรี เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะยิ่งใหญ่แห่งยุคฟื้นฟูใหม่ (复兴)ของจีน ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง ที่เคยประกาศก้องว่าจะไม่มีกลุ่มพลังใดอาจขัดขวางการฟื้นฟูใหม่ของประชาชาติจีน
จีนยกเหตุการณ์ที่เมิ่ง หว่านโจว ได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โดยเป็นภาพย่อของสิ่งที่ไม่เคยปรากฏในรอบ 100 ปี ซึ่งต่อไปจะขอเรียกว่า ‘เหตุการณ์เมิ่ง หว่านโจว’ (孟晚舟事件)
พรรคคอมมิวนิสต์จีนชี้ว่า เนื้อแท้ของ ‘เหตุการณ์เมิ่ง หว่านโจว’ คือความพยายามขัดขวางและหยุดการพัฒนาของประเทศจีน โดยสิ่งที่จีนได้ทุ่มเทผลักดันและรักษาไว้อย่างยากลำบากนั้นไม่เพียงเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของประชาชน ผลประโยชน์ของบริษัท ยังเป็นการรักษาเส้นทางที่จะนำพาประชาชนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และรักษาสิทธิในการพัฒนาความทันสมัยแก่ประเทศชาติ
จาก‘เหตุการณ์เมิ่ง หว่านโจว’ จะเห็นได้ชัดว่ายิ่งภารกิจฟื้นฟูประชาชาติใกล้ประสบความสำเร็จ...คลื่นลมบนเส้นทางที่ใกล้เข้าถึงเส้นชัยนี้ยิ่งเต็มไปด้วยขวากหนามแห่งความท้าทายเสี่ยงอันตรายถึงขั้นที่บางครั้งต้องเผชิญคลื่นลมในทะเลแห่งอุปสรรคที่รุนแรงแทบจะทำลายล้างสิ่งที่ต่อสู้สรรคสร้างและพัฒนาขึ้นมา จีนต้องแน่วแน่มั่นคงเดินทางไปบนเส้นทางของตนเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายการสร้างเทคโนโลยีขั้นสูงของตัวเอง
‘เหตุการณ์เมิ่ง หว่านโจว’ เกิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฟื้นฟูยิ่งใหญ่ ในยุคที่การพัฒนาลัทธิสังคมนิยมแบบลักษณะเฉพาะจีนกำลังเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว
ฝ่ายจีนชี้มาตลอดว่าการจับกุมเมิ่งหว่านโจวคือแผนการของสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการสกัดความสำเร็จในการฟื้นฟูจีนยุคใหม่ ซึ่งมีการพัฒนาความทันสมัยเป็นหัวใจสำคัญ
“‘เหตุการณ์เมิ่ง หว่านโจว’ เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯกำลังโจมตีจีนอย่างหนักหน่วงในสงครามการค้าและเทคโนโลยี
หลิว เจี้ยนลี่ นักวิจัยแห่งสถาบันการวิจัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรมจีน สังกัดสถาบันสังคมศาสตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Institute of Industrial Economics of CASS) ได้แจงมูลเหตุของสงครามการค้าและเทคโนโลยีที่สหรัฐฯบุกจู่โจมจีนไม่เลิก จากช่วงปี 1978 จีนยังถูกมองเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดของโลก ด้วยนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศที่ดำเนินมา 40 กว่าปี จีนได้สร้างเศรษฐกิจที่มีอัตราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและสังคมที่มีเสถียรภาพเป็นเวลายาวนานซึ่งถือเป็น “สองสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่” ที่ยากจะเกิดขึ้นได้ในโลก จีนได้เรืองอำนาจขึ้นบนเวทีโลกกลายเป็นชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่สองและมีขนาดการผลิตใหญ่ในอันดับที่หนึ่ง และผลจากการพัฒนาที่ตามติดมาก็คือ กลุ่มบริษัทจีนค่อยๆเติบใหญ่และแข็งแกร่ง จนกระทั่งได้ “เดินออกไป” (走出去)อย่างที่นับวันยิ่งพัฒนาก้าวหน้า
มองมาที่การพัฒนาภาคบริษัทจีน ทั้งในแง่ของขนาดและจำนวนบริษัทรายใหญ่ขยายเพิ่มไม่หยุด จีนได้บ่มเพาะบรรษัทข้ามชาติโดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตที่มีแรงแข่งขันบนเวทีโลกนับวันยิ่งแข็งแกร่ง ในการจัดอันดับกลุ่มบริษัทชั้นนำ 500 รายของนิตยสาร ฟอร์บ ประจำปี 2020 มีรายชื่อบริษัทจีน 133 รายติดอันดับซึ่งถือว่ามากกว่าชาติใดๆ และยังเป็นครั้งแรกที่จีนแซงหน้าสหรัฐฯในด้านนี้ สำหรับการจัดอันดับ 500 บริษัทชั้นนำโลก ปี 2021 กลุ่มบริษัทจีนที่ติดอันดับฯเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 143 ราย กลุ่มบริษัทรายใหญ่จีนได้ยึดครองทำเนียบ 500 บริษัทชั้นนำโลก มากที่สุดถึงสามปีซ้อน? รายได้จากการดำเนินงานและกำไรสุทธิของบริษัทจีนเมื่อเทียบกับบริษัทอเมริกันแล้ว มีช่องว่างลดน้อยลงทุกวัน โดยรายได้และกำไรสุทธิของบริษัทจีน คิดเป็น 91.26% และ 75.00% (ตามลำดับ) ของบริษัทอเมริกัน
การเข้าสู่ตลาดต่างประเทศของกลุ่มบริษัทจีน มีพัฒนาการจากรูปแบบการค้าขายไปสู่การลงทุนด้านการผลิต เขตการลงทุนโดยตรงค่อยๆขยับจากโซนประเทศกำลังพัฒนาไปยังกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
หลิว เจี้ยนลี่ กล่าวว่าแม้ถูกกีดกันจากสหรัฐฯ ในสองปีมานี้ หัวเหวย และ ZTE ก็ยึดครองสัดส่วนตลาดภาคอุตสาหกรรมอุปกรณ์การสื่อสารของโลกไว้อย่างมั่นคงในอันดับที่หนึ่ง และอันดับที่สี่ตามลำดับ ขณะที่ภาคการผลิต บริษัทจีนได้เข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องไฟฟ้าบริโภคในต่างประเทศและประสบความสำเร็จอย่างที่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลย ยกตัวอย่าง โทรศัพท์มือถือ แม้ว่าหัวเหวยโดนสหรัฐฯเล่นงานจนสัดส่วนตลาดลดลงไป แต่ขุนพลใหญ่แห่งภาคบริษัทโทรศัทพ์มือถือจีนก็ผงาดทรงอิทธิพลในตลาดโลกแบบที่มีแต่เพิ่มไม่มีลด Xiaomi, OPPO, vivo, Honor ดึงดูดความสนใจจากลูกค้าต่างประเทศมากขึ้นๆ ขณะที่กลุ่มบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าบุกตลาดต่างแดนแบบยิ่งรบก็ยิ่งแข็งแกร่ง แบรนด์ดังจีน อย่าง Haier, Hisense และบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติจีนอื่นๆต่างก็ประสบความสำเร็จในการเข้าเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มใหญ่ (Mainstream market) ทั้งในทวีปอเมริกา และยุโรป
มองไปที่ภาคเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในสนามแข่งขัน 5G ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอื่นๆ บริษัทจีนได้ผงาดขึ้นเป็นผู้นำโลกเช่นกัน ขณะเดียวกันก็พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองในตลาดอุปกรณ์การสื่อสารระบบ 5G หัวเหวยได้อาศัยตลาดที่มีขนาดมหึมาภายในประเทศ ครองสัดส่วนตลาดโลกในอันดับหนึ่ง หัวเหวยยังแข็งแกร่งในหลายๆด้าน เทคโนโลยีไอที และวงจรรวม (Integrated Circuit หรือ IC) เป็นต้น
ในบทวิเคราะห์ ‘เหตุการณ์เมิ่งหว่านโจว’ ของสถาบันวิจัยแห่งชาติจีน ชี้ว่า ภาคการผลิตวงจรรวม คือชัยภูมิทางยุทธศาสตร์ของสงครามเทคโนโลยีในปัจจุบัน เป็น ‘ประตูชีวิต’ (รากฐาน)ของเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบ 5G ตลอดจนเป็นความมั่นคงในการป้องกันประเทศ ดังนั้นจึงเป็นพื้นที่ใจกลาง (Core area) ของนโยบายสกัดการบรรลุด้านเทคโนโลยีจีนของสหรัฐฯ
การพัฒนาวงจรรวมของหัวเหวยกำลังก้าวหน้าโดดเด่นอย่างมาก ในขณะที่เทคโนโลยีระบบ 5G ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกแล้ว ซึ่งสหรัฐฯทนสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ จึงลุยสงครามสกัดกั้นเทคโนโลยีจีน ดังที่นักการเมืองสหรัฐฯคนหนึ่งได้พูดว่า “โจมตีหัวเหวยเท่ากับได้ข้อตกลงการค้าสิบฉบับ” หลิว เจี้ยนลี่ กล่าว
“เหตุการณ์เมิ่งหว่านโจวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏในรอบหนึ่งร้อยปี โดยเป็นภาพย่อการเคลื่อนไหวของสหรัฐฯเพื่อที่จะสกัดการเรืองอำนาจของจีน”หลิว เจี้ยนลี่ กล่าว