สื่อจีน/เทศรายงาน--ในวันอาทิตย์(19 ก.ย.) ฮ่องกงเปิดคูหาลงคะแนนเสียงให้กับกลุ่มผู้สมัครชิงตำแหน่งใน ‘คณะกรรมาธิการเลือกตั้ง’ ซึ่งจะเป็นผู้เลือกผู้นำสูงสุดฮ่องกงที่จีนหนุนหลังและสมาชิกสภานิติบัญญัติบางส่วน โดยกลุ่มผู้สมัครลงสนามเลือกตั้งฯนี้ส่วนใหญ่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าเป็นกลุ่มจงรักภักดีกับปักกิ่ง แทบไม่มีผู้สมัครฯจากค่ายสนับสนุนประชาธิปไตยเลย
สำหรับการเลือกตั้ง ‘คณะกรรมาธิการเลือกตั้ง’ ครั้งนี้นับเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกนับจากผู้นำจีนยกเครื่องระบบการเลือกตั้งฮ่องกงเพื่อสร้างหลักประกันว่า “จะมีแต่กลุ่มรักชาติเท่านั้น” ที่กุมอำนาจปกครองดินแดนเกาะที่อิสระที่สุดของจีน
ขณะที่การเลือกตั้งฯเริ่มขึ้นโดยประชาชนจากกลุ่มสนับสนุนนโยบายจีนไม่ถึง 5,000 คน ออกไปลงคะแนนเสียง ด้านผู้นำสูงสุดแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง นาง แคร์รี่ แลม ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในตอนเช้า(19 ก.ย.) ว่า “เป้าหมายสูงสุดของเราคือการปรับปรุงการเลือกตั้งเพื่อสร้างหลักประกันว่าเราจะมีคณะบริหารดินแดนที่รักชาติ”
บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเลือกตั้งนี้จะกำกับดูแลการเลือกตั้งซ่อมสมาชิก 40 ที่นั่งของสภานิติบัญญัติ หรือ ‘สภาเลคโก’แห่งฮ่องกงในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ และการเลือกหัวหน้าคณะผู้บริหารเขตบริหารพิเศษฮ่องกงในเดือนมี.ค. ปีหน้า (2022)
ด้านตำรวจฮ่องกงได้จัดมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยทั่วดินแดน โดยสื่อท้องถิ่นเผยว่ามีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ถึง 6,000 นาย คอยตรวจตราความเรียบร้อย
การเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของผู้นำจีนในการปกครองเกาะฮ่องกง โดยก่อนหน้าจีนได้ผลักดันกฎหมายความมั่นคงที่จะลงโทษกลุ่มหรือการเคลื่อนไหวใดๆที่จีนเห็นว่าเป็นการบ่อนทำลายประเทศชาติ การแบ่งแยกดินแดน หรือการสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มพลังต่างชาติ
ขณะนี้นักเคลื่อนไหวและกลุ่มนักการเมืองที่เรียกร้องประชาธิปไตย ถูกกวาดจับเข้าคุก หรือไม่ก็เผ่นหนีไปต่างประเทศ
เหล่าเจ้าพ่ออสังหาฯฮ่องกงถอยดีกว่า ปล่อยลูกชายรักษาที่นั่งการเมืองต่อไป
ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา รัฐสภาได้รับรองระบบการเลือกตั้งใหม่ โดยลดจำนวนผู้แทนจากค่ายประชาธิปไตยในสถาบันต่างๆและตั้งกลไกตรวจสอบกลุ่มผู้สมัครรับการเลือกตั้งรวมทั้งผู้ชนะศึกเลือกตั้ง โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ลดอิทธิพลของกลุ่มมหาเศรษฐีไปอย่างมากทีเดียว แม้ว่ากลุ่มต่างๆที่มีความสัมพันธ์กับธุรกิจของมหาเศรษฐีเหล่านี้ยังมีที่นั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการเลือกตั้งก็ตาม
ฮ่องกงซึ่งเป็นอาณานิคมอังกฤษมาร่วมร้อยปี ได้กลับสู่การปกครองจีนในปี 1997 ภายใต้สูตรการปกครอง “หนึ่งประเทศสองระบบ” โดยมีอำนาจการปกครองตัวเองระดับสูง มีเสรีภาพทางการเมืองแบบที่แผ่นดินใหญ่ไม่มี นอกจากนี้ในกฎหมายพื้นฐาน (Basic Law) หรือ “รัฐธรรมนูญน้อย” ของฮ่องกงจีนยังได้ระบุข้อสัญญาไว้ว่าจะเปิดทางให้ดินแดนมีการเลือกตั้งทั่วไปแบบสากลในที่สุด พร้อมด้วยการปกครองตัวเองระดับสูง
แต่ทว่า กลุ่มรณรงค์ประชาธิปไตย และกลุ่มชาติตะวันตกออกมาชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในสนามการเมืองฮ่องกงตอนนี้สวนทางกับคำสัญญาที่ปักกิ่งเคยให้ไว้ โดยทำให้กลุ่มฝ่ายค้านแห่งค่ายประชาธิปไตยมีพื้นที่อย่างจำกัดมากที่สุดนับจากวันที่อังกฤษส่งมอบฮ่องกงแก่จีน
ขณะที่ทางจีนกล่าวว่าการยกเครื่องโครงสร้างการเมืองในฮ่องกงมีเป้าหมายเพื่อขจัด “ช่องโหว่และความไร้ประสิทธิภาพ” ที่คุกคามความมั่นคงแห่งชาติระหว่างศึกวุ่นวายทางการเมืองในปี 2019 และประกันว่าจะมีแต่ “ผู้รักชาติ” ปกครองดินแดน
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาคการเมืองฮ่องกงที่เห็นได้ชัดสุดคือ กลุ่มผู้แทนสภาที่ปรึกษาระดับชุมชน (community-level district councilors) 117 ที่นั่งในคณะกรรมาธิการเลือกตั้ง ถูกยุบไป พร้อมกับเพิ่มที่นั่งมากกว่า 500 ที่นั่งให้กับกลุ่มธุรกิจจีน และกลุ่มรากหญ้า
อนึ่ง กลุ่มผู้แทนระดับเขตชุมชนของฮ่องกงถือว่าเป็นสถาบันที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบแห่งเดียวของดินแดน และเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ของสภา 452 ที่นั่ง อยู่ในมือของค่ายประชาธิปไตยหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2019
ในการยกเครื่องการเมืองฮ่องกงได้ขยายสภานิติบัญญัติเป็น 90 ที่นั่ง จากเดิมที่มี 70 ที่นั่ง ขณะที่คณะกรรมาธิการเลือกตั้งที่รับผิดชอบดูแลการเลือกหัวหน้าคณะผู้บริหารฯขยายจำนวนสมาชิก 1,200 ที่นั่ง เป็น 1,500 ที่นั่ง
กลุ่มผู้แทนจากสายอาชีพที่ตามประเพณีส่วนใหญ่มักมาจากกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยถูกเจือจางลงโดยการเพิ่มสมาชิกโดยตำแหน่ง (ex-officio members) และลดสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง
กลุ่มผู้ประกอบการที่มั่งคั่งหลายคนรวมทั้งมหาเศรษฐีที่รวยสุดในฮ่องกงอย่างลีกาชิง ก็จะไม่อยู่ในคณะกรรมาธิการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ขณะที่จีนต้องการดุลอำนาจระหว่างกลุ่มเครือบริษัทยักษ์ใหญ่กับธุรกิจขนาดเล็ก
“สามเจ้าพ่อแห่งภาคอสังหาริมทรัพย์” คือ หลี่ (ลีกาชิง) วัย 93 ปี แห่ง CK Asset Holdings, ลี เชา-กี (Lee Shau-kee)วัย 93 ปี แห่ง Henderson Land และเฮนรี่ เจิ้ง (Henry Cheng) วัย 74 ปี แห่ง New World Development ต่างก็ถอนตัวออกจากสนามแข่งขันการเมือง แม้ว่าลูกชายของพวกเขายังครองที่นั่งอยู่ก็ตาม