สื่อต่างประเทศรายงาน (16 มิ.ย.) - การเก็บภาษีศุลกากรฝ่ายเดียวระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะยังคงส่งผลกระทบต่อการเติบโตของห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chains - GVCs) ไปอีก 3-5 ปีข้างหน้าในประเทศที่ได้รับผลกระทบ
รายงานจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ที่ศึกษาอนาคตหลังเกิดโรคระบาดของห่วงโซ่มูลค่าโลก เปิดเผยว่า ความเสียหายจากการปรับขึ้นภาษีฝ่ายเดียวระหว่างสหรัฐและจีนนั้น จะยังคงส่งผลกระทบต่อการเติบโตของห่วงโซ่มูลค่าโลก ไปอีก 3-5 ปีข้างหน้าในประเทศที่ได้รับผลกระทบ ห่วงโซ่มูลค่าจะยังคงเป็นแกนหลักของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แม้ว่าผู้ผลิตทั่วโลกจะพิจารณาย้ายการผลิตให้ใกล้บ้านมากขึ้น
นโยบายทางการค้าที่เข้มงวดในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ก่อความเสียหายขยายในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากประเทศผู้ผลิตจำกัดการส่งออก ต้นทุนการขนส่งสินค้าทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวขึ้นตาม ก่อกังวลต่อตลาดทั่วโลกซึ่งเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นทุนเดิม
"โรคระบาดและสงครามการค้าซึ่งประเทศต่างๆ รวมถึงสหรัฐและจีน มีส่วนทำให้เกิดความเสี่ยงที่ขยายวงกว้างมากขึ้น" นางคานนี วิกนราชา ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติและผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของ UNDP กล่าวฯ
ภาษีศุลกากรยังคงถูกนำไปใช้กับสินค้ามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ภายใต้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งเริ่มต้นขึ้นภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
รายงานของ UNDP ระบุว่า "ความตกต่ำของนโยบายการค้าจึงเป็นเรื่องใหญ่มาก" “อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการคลี่คลายความเชื่อมโยงของห่วงโซ่มูลค่าระดับโลกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีทางที่จะสลายตัวได้อย่างแน่นอน”
สหรัฐฯ และจีนตกลงกันในข้อตกลงการค้าบางส่วนในปี 2020 ทว่า "ความไม่สมดุล" ยังคงอยู่ในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก