ร่มฉัตร จันทรานุกูล
มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจระหว่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ กรุงปักกิ่ง (UIBE)
หากท่านผู้อ่านได้ติดตามข่าวดังจากฝั่งจีนอยู่เสมอ จะทราบว่าหนึ่งในข่าวดังข้ามปีของวงการบันเทิงจีน คือเรื่องของดาราสาวดาวรุ่ง เจิ้งส่วง ผู้ถูกเปิดโปงกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับสังคม นั่นคือเรื่องของการที่ดาราสาวเจิ้งส่วงได้เคยไปอเมริกาและทำเรื่องอุ้มบุญ*กับแฟนหนุ่มที่เลิกรากันไปแล้ว ชื่อว่า จางเหิง
(*การอุ้มบุญ คือ การให้หญิงคนอื่นตั้งครรภ์จากการปฏิสนธิภายนอกร่างกายแทนคู่สามีภรรยาที่ไม่สามารถมีลูกได้ การปฏิสนธิอาจใช้สเปิร์มและไข่จากคู่สามีภรรยาดังกล่าว หรือเป็นสเปิร์มหรือไข่จากคนใดคนหนึ่งผสมกับสเปิร์มหรือไข่ที่ได้รับบริจาคจากผู้อื่น แล้วจึงนำตัวอ่อนฝังเข้าไปในมดลูกของหญิงที่อุ้มบุญ)
โดยทั้งคู่ได้คบหาและจดทะเบียนสมรสกันเงียบ ๆ ในปลายปี 2018 และมีการตั้งบริษัทร่วมกัน ทว่าหลังจากคบกันได้ไม่นาน ในปี 2019 ก็มีข่าวความไม่ค่อยลงรอยของทั้งคู่ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ในช่วงเริ่มต้นทั้งคู่ให้การปฎิเสธ แต่หลังจากนั้นประมาณปลายปี 2019 บริษัทที่เคยเปิดร่วมกันก็ปิดตัวลงและฝ่ายของดาราสาวเจิ้งส่วงได้ทยอยขายเสื้อผ้าคู่ของตัวเองที่เคยใส่คู่กับจางเหิง
พอเลิกกันมหากาพย์สงครามของทั้งคู่ก็เริ่มขึ้น เมื่อเจิ้งส่วง ฝ่ายหญิงก็ฟ้องฝ่ายชาย ประเด็นเรื่องการหยิบยืมเงิน จำนวน 20 ล้านหยวน โดยเจิ้งส่วงต้องการให้จางเหิงคืนเงินจำนวนนี้พร้อมดอกเบี้ย ประเด็นนี้เจิ้งส่วงได้ฟ้องต่อศาลไป หลังจากนั้นจางเหิงไม่ยอมรับและฟ้องกลับ และในการขึ้นศาลในครั้งที่สอง ทั้งสองคนส่งตัวแทนทนายของตัวเองไป โดยทางจางเหิง ส่งมอบเอกสารเพิ่มเติมต่อศาล โดยประเด็นการฟ้องร้องและผลการตัดสินในครั้งแรกรวมถึงครั้งที่สอง ไม่ได้เผยแพร่ในสาธารณะ
มีแหล่งข่าวภายในปล่อยข่าวออกมาว่า ในประเด็นของการหยิบยืมเงินนั้น เจิ้งส่วงบังคับให้จางเหิงยืมเงินตัวเอง 20 ล้านหยวน โดยตอนนั้นบอกว่าเป็นกองกลางเงินทำธุรกิจด้วยกัน หากว่าทำกำไรเงินส่วนนี้คือของเจิ้งส่วง หากว่าขาดทุนจางเหิงต้องชดใช้ให้
จางเหิงเองไม่ต้องการที่จะยืมเงิน แต่เพราะในขณะนั้นทั้งคู่ยังรักกันดี จางเหิงจึงยอมและใช้เวลาไปกับการเป็นผู้ช่วยเจิ้งส่วง ส่วนเงิน 20 ล้านหยวนจางเหิงแบ่งไปลงทุนในหุ้น กองทุนและใช้จ่ายในบริษัทที่เปิดร่วมกัน รายละเอียดดังกล่าวเท็จจริงประการใดไม่มีใครทราบ โดยจากศาลเซี่ยงไฮ้ระบุว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
หลังจากเรื่องของผลประโยชน์เงิน ๆ ทอง ๆ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องของการอุ้มบุญ ที่ทั้งคู่ยามรักหวานตกลงกันที่จะมีลูกและใช้วิธีการไปทำเรื่องอุ้มบุญในต่างประเทศเพราะในประเทศจีนเป็นเรื่องผิดกฎหมายและทำไม่ได้ (การอุ้มบุญในต่างประเทศ ทำได้โดยหาบริษัทตัวแทนคนกลางให้บริการ ส่วนใหญ่เป็นบริการแบบรอบด้าน ทั้งให้คำปรึกษาจนถึงหาผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ร่างกายแข็งแรงและพร้อมกับการตั้งครรภ์ ติดต่อโรงพยาบาลในพื้นที่เพื่อการตรวจสุขภาพ ทำเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลเป็นต้น )
ทั้งคู่ได้เลือกอุ้มบุญที่ประเทศอเมริกา จากการสืบสาวราวเรื่องของสำนักข่าวต่าง ๆ มีรายงานว่า ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายแสดงความประสงค์ของตนก่อน และสุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจ
อย่างที่ผู้เขียนกล่าวไปข้างต้นว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จบลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ระหว่างที่ผู้อุ้มบุญท้องระยะเข้าเดือนที่เจ็ด ดาราหญิงเจิ้งส่วงก็ไม่ต้องการเด็กในครรภ์แล้ว ประสงค์ให้เอาเด็กออก แต่ในขณะนั้นท้องได้ใหญ่มากแล้วและใกล้คลอด ในทางปฎิบัติไม่สามารถทำได้ ตรงนี้มีเทปหลุดเสียงของเจิ้งส่วงเองโดยแสดงความไม่พอใจและพูดว่า “จะให้ทำแท้งก็ทำไม่ได้ เบื่อสุดๆไปเลย”หลังจากนั้นมีเทปการสนทนาระหว่างพ่อของเจิ้งส่วงและทางบ้านของจางเหิง โดยเนื้อหาที่เป็นจุดประเด็นการสนทนาของพ่อของเจิ้งส่วงแสดงว่า ไม่ต้องการเด็กทั้งสองที่เกิดจากการอุ้มบุญ ให้เอาเด็กส่งต่อให้คนอื่นที่ต้องการไป และจากการเปิดโปงจากฝั่งครอบครัวจางเหิงและคนใกล้ชิดกล่าวว่า ฝ่ายชายจางเหิงต้องการที่จะเลี้ยงลูกทั้งสองและไม่ทิ้ง
ตั้งแต่เลิกกันฝ่ายหญิงไม่ยอมที่จะเอาลูกไว้และไม่ต้องการรับผิดชอบและจากการให้ข่าวของฝ่ายหญิงก่อนหน้าต่าง ๆ นานาให้ร้ายเรื่องการยืมเงินและการนอกใจ ก็ไม่เป็นความจริง ปัจจุบันฝ่ายชายยังอยู่ดูแลลูกทั้งสองอยู่ที่อเมริกาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว
หลังจากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ในประเทศและได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ความจริงหลายอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ดาราสาวเจิ้งส่วงถูกสำนักข่าวแห่งชาติจีนช่องต่าง ๆ ออกข่าวและตำหนิพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในฐานะบุคคลสาธารณะ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีและถูกใช้คำว่า “ขาดจริยธรรม” (ผู้เขียนขอเกริ่นตรงนี้ก่อนว่า หากคนในวงการจีนคนไหนถูกทางการตำหนิออกสื่อขนาดนี้หมายความว่าจะหมดอนาคตในวงการทันที!)
หลังจากนั้นได้ไม่นานนัก มีข่าวการยกเลิกงานและสัญญาการร่วมมือกับเจิ้งส่วงจากบริษัทต่าง ๆ ทั้งยังมีการให้เอาหนังสือของเจิ้งส่วงที่กำลังจะออกขายลงให้หมด
สื่อจีนทั้งหลายหยุดและตัดการเป็นกระบอกเสียงให้กับเจิ้งส่วง ซึ่งหลังจากข่าวฉาว สุดท้ายเจิ้งส่วงเคยกล่าวว่าจะออกจากวงการบันเทิงและมีการอัดเทปไว้ด้วยแต่สุดท้ายถูกหยุดให้เผยแพร่ จากผลกระทบของการถูกลงดาบของดาราสาวเจิ้งส่วงทำให้ละครโทรทัศน์ก่อนหน้าที่ถ่ายไปรอการออกอากาศต้องถูกกดปุ่มหยุด รวมทั้งสัญญาการเป็นแอมบาสเดอร์สินค้าต้องหยุดไป รวมเป็นมูลค่าความเสียหายถึง 900 ล้านหยวน
มิหนำซ้ำ เจิ้งส่วงคือฝ่ายผิดสัญญาอาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมหาศาลนี้ด้วย
มีคำกล่าวที่ว่า “德不优法不容” อ่านว่า เต๋อปู้โยวฝ่าปู้หลง หมายถึง "จริยธรรมไม่ดีงาม ทางกฎหมายไม่ยอมรับ" ในมุมของจีนกับกรณีของเจิ้งส่วง ขยายความไปอีกถึงความหมายนัยยะคือ การเอาจริยธรรมมานำหน้าของสังคมจีน กฎหมายตั้งอยู่บนหลักจริยธรรมที่ถูกต้อง เพราะการที่ผู้หญิงเอาร่างกายและมดลูกออกมาใช้ในทางการค้า ทางหลักจารีตประเพณีจีนไม่ใช่สิ่งดีงามที่ควรทำ ถึงแม้ว่าในประเทศอื่น ๆ อย่างรัสเซีย อินเดียและสหรัฐอเมริกา การอุ้มบุญเป็นสิ่งถูกกฎหมายและเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมบริการที่ทำเงินให้มหาศาล
หลังจากเรื่องของเจิ้งส่วง สำนักข่าวซินหัวตอกย้ำว่า "การอุ้มบุญ" เป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศและยังกล่าวถึงปัญหามากมายที่มีอยู่ในปัจจุบันว่า “อุ้มบุญเป็นอุตสาหกรรมสีดำ” มองข้ามกันไม่ได้
ในปัจจุบันจีนเองก็มีคู่สามีภรรยาจำนวนมากที่อยากมีลูก แต่ไม่สามารถมีได้ ทำให้กลุ่มสามีภรรยาที่มีเงินเลือกที่จะใช้บริการอุ้มบุญในต่างประเทศซึ่งราคาก็แพงยิบ
จากกรณีหนึ่งที่ถูกเปิดเผยและมีการขึ้นโรงขึ้นศาลระหว่างคู่สามีภรรยาที่เป็นลูกค้ากับบริษัทตัวแทนที่จัดการเรื่องการอุ้มบุญในต่างประเทศ พบว่ามีค่าใช้จ่ายการอุ้มบุญครั้งหนึ่ง 7 แสนหยวนหรือ 3 ล้านกว่าบาท หลังจากเด็กคลอดออกมาได้ทำการตรวจร่างกายและพบว่า มีปัญหาด้านการฟัง หลังจากนั้นคู่สามีภรรยาได้ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้บริษัทตัวแทนคืนเงิน แต่ทางบริษัทตัวแทนได้ฟ้องกลับและให้ชำระเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือ
อีกกรณีหนึ่งคือ คู่สามีภรรยาจ่ายเงินให้ตัวแทนจำนวนมากเพื่อให้ไปทำการอุ้มบุญในต่างประเทศ สุดท้ายลูกไม่ได้อุ้ม-แถมเงินหายไปอีก ยังมีอีกคู่ การอุ้มบุญที่ตั้งครรภ์ไปแล้ว ถูกยกเลิกกลางคันและขอคืนเงิน
ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ คดีการฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องของการอุ้มบุญในจีนมีจำนวนมาก ซึ่งในอุตสาหกรรมบริการประเภทนี้ก็ไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายอยู่แล้ว ทำให้เกิดความเสียหายมาสู่สังคมมหาศาล
เรื่องของเจิ้งส่วง ตอกย้ำว่าการอุ้มบุญเป็นเรื่องผิดกฎหมายในจีน ส่วนตัวดาราสาวเองขาดคุณสมบัติการเป็นบุคคลสาธารณะ หมดอนาคตในวงการ และอาจจะมีการตรวจสอบพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เหมาะสมตามมา เช่นเรื่องของการถูกเปิดโปงว่าหนีภาษีรายได้ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา มหากาพย์นี้ยังไม่จบสิ้น ต้องรอดูกันอีกต่อไปค่ะ