ผู้เขียน ร่มฉัตร จันทรานุกูลUniversity of International Business and Economics,Beijing
ปีนี้ยังไม่ทันไรก็ล่วงเลยมาใกล้จะถึงครึ่งปีแล้ว หากย้อนกลับไปมองต้นปีที่ผ่านมาหลายท่านอาจจะรู้สึกหดหู่กับเหตุการณ์โควิด-19ที่ระบาดไปทั่วโลก ความรู้สึกถึงภัยคุกคาม ความโศกเศร้าเสียใจ เพราะการมาของโควิดแบบรวดเร็วดั่งจรวด ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ใช่ผลกระทบทางจิตใจเท่านั้น แต่ยังตามมาด้วยผลกระทบทางเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง
อย่างเช่นในประเทศจีน ถือเป็นประเทศแรกที่มีการระบาดหนัก มาจนถึงวันนี้ 3 เดือนกว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนค่อยๆฟื้นฟูจนเกือบจะเข้าสู่ภาวะปกติ หลายพื้นที่ของจีนค่อยๆปลดล็อกการเดินทางระหว่างมณฑล การผ่อนคลายของมาตรการกักตัวเอง 14 วันโดยใช้โค้ดสีเขียว (Green Code) ส่วนบุคคล
ก่อนวันแรงงานนี้ รัฐบาลจีนได้ประกาศวันประชุมสองสภา (ได้แก่ การสภาที่ปรึกษาการเมืองและสภาผู้แทนประชาชนหรือรัฐสภา) ในระหว่างวันที่ 21-22 เดือนพ.ค.ที่จะถึงนี้ หลายคนมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าจีนจะประกาศชัยชนะสุดท้ายกับภารกิจต่อสู้กับโควิด
บรรยากาศภายในประเทศจีนเองผู้เขียนเห็นว่า ค่อยๆสดใสขึ้นเรื่อยๆ เมืองต่างๆมีชีวิตชีวาขึ้น ไม่เพียงแต่ฤดูกาลนี้ที่เหมาะแก่การออกมาท่องเที่ยวเท่านั้น ที่สำคัญคือผู้คนรู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะก้าวขาออกจากบ้าน การกักตัวอยู่ที่บ้านกันเป็นเวลาสองสามเดือนเป็นใครก็คงรู้สึกอึดอัดและอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง หาความผ่อนคลายให้ชีวิตกันบ้าง ในวันที่ 1-5 พ.ค. ในปีนี้เป็นวันหยุดแรงงานยาวที่ทางการจีนประกาศ ประชาชนต่างตั้งตารอวันหยุดยาวนี้ สื่อจีนเองก็สนใจเสนอข่าววันหยุดยาวและมาตรการผ่อนปรนของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทั่วประเทศ
ฟากของปักกิ่งเองก็ลดระดับการป้องกันลงเป็นระดับ 2 ทั้งที่ก่อนหน้านี้คงอยู่ที่ระดับ 1 คือระดับสูงสุดมาตลอด แล้วปักกิ่งยังยกเลิกการกักตัว 14 วันของประชาชนที่เดินทางเข้ามาจากพื้นที่ปลอดภัยด้วย ทั้งนี้ผู้เขียนเชื่อว่าปักกิ่งต้องคลายนโยบายที่เข้มข้นลงบ้าง เพื่อเตรียมตัวสำหรับการประชุมใหญ่ในช่วงปลายเดือนนี้ และหลายคนเชื่อว่าหลังจากการประชุมสองสภาในปลายเดือนนี้ผ่านไป ปักกิ่งอาจจะลดระดับการป้องกันลงมาอีก
หลังจากข่าวดีที่รัฐบาลประกาศก่อนที่วันแรงงานจะมาถึง สัญญาณการตอบรับของประชาชนคึกคักขึ้นมาทันที ผู้เขียนขอยกตัวอย่างในปักกิ่ง วันที่ 29 เม.ย. ช่วงบ่ายหลังจากรัฐบาลท้องถิ่นประกาศลดระดับการป้องกันโควิด-19ลงเป็นระดับ 2 ทำให้อัตราการจองตั๋วเครื่องบินผ่านเว็บไซต์ของประชาชนถีบตัวสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัว จากสถิติของเว็บไซต์ท่องเที่ยวจีน Qunar.com รายงานว่าหลังจากรัฐบาลประกาศลดระดับการป้องกันฯในปักกิ่งลง ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น การค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวและโรงแรมเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่า!
ตามสถิติการค้นหาของชาวเมืองปักกิ่งพบว่าปลายทางการเดินทางที่ค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ ปักกิ่ง-ฉงชิ่ง ปักกิ่ง-ซานย่า ปักกิ่ง-หางโจว ปักกิ่ง-เฉิงตู และปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ โดยทาง Fliggy.com เว็บไซต์ใหญ่ด้านการท่องเที่ยวของจีนอีกเว็บหนึ่งได้เปิดเผยตัวเลขเช่นกันว่า หลังจากได้รับสัญญาณดีจากรัฐบาลเป็นต้นมา อัตราการออกตั๋วเครื่องบินทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 500 เปอร์เซ็นต์ และการออกตั๋วโดยสารรถไฟก็เพิ่มขึ้น 400 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับวันก่อนหน้า ทั้งนี้แหล่งท่องเที่ยวในปักกิ่งอย่างพระราชวังต้องห้ามก็เปิดรับนักท่องเที่ยวแล้วเช่นกันในวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา
หลายคนอาจมองว่าก็แค่วันหยุดยาว 5 วันของจีนดูจะไม่น่าตื่นเต้นอะไร แต่ผู้เขียนอยากจะบอกว่าสัญญาณด้านบวกต่างๆของรัฐบาลจีนและการตอบรับของประชาชนทั่วประเทศนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งและได้รับการจับตามองจากหลายฝ่ายเลยทีเดียว เรามาตีโจทย์กันต่อว่า วันหยุดแรงงานของจีนในปีนี้มีความสำคัญอย่างไร?
คนจีนต่างกล่าวว่าวันแรงงานในปีนี้พิเศษกว่าปีอื่นๆ ไม่เพียงแต่รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดรวดเดียว 5 วันเท่านั้นแต่เป็นเหมือนการ “Restart” และจุดหักเปลี่ยนใหม่ของจีนเลยทีเดียว จุดหักเปลี่ยนที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องโรคระบาดโควิด-19 ของจีนที่รอวันประกาศชัยชนะสุดท้ายเท่านั้น แต่ก็ยังเป็นจุดเปลี่ยนของจิตใจของประชาชนอีกด้วยที่ “ดัชนีความเชื่อมั่น” ในภาคประชาชนกำลังกลับมา ขณะที่บรรยากาศตลาดอสังหาริมทรัพย์ คนเริ่มออกมาดูบ้าน ความต้องการซื้อขายบ้านหลังจากชะงักไปเพราะโควิด-19 เริ่มกลับมา จิตใจห่อเหี่ยวของประชาชนเริ่มหมดไป ทุกคนเริ่มเชื่อมั่นว่าวันที่ดีข้างหน้ากำลังจะมาถึง ชีวิตอีกหลายชีวิตกำลังเริ่มต้นกันใหม่
การกลับมาท่องเที่ยวของประชาชนในช่วงวันแรงงาน ทำให้ร้านค้า ร้านอาหารและบริการต่างๆที่หยุดกันมาเป็นเวลานานเริ่มกลับมาเปิดต้อนรับลูกค้ากันมากขึ้น อัตราการจ้างงานของร้านค้าออฟไลน์เหล่านี้เริ่มกลับมา อีกทั้งการท่องเที่ยวของคนจีนในประเทศในวันแรงงานปีนี้ กลายเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ประชาชนต้องท่องเที่ยวพร้อมไปกับการป้องกันตัวเอง เช่น ยังคงต้องใส่หน้ากากในที่สาธารณะ นับว่าการท่องเที่ยวของจีนก็เข้าสู่ช่วง “New Normal” อีกเช่นกันเพราะทุกคนขณะที่ท่องเที่ยวก็ต้องปรับตัวและปฏิบัติตัวตามหลักการป้องกันเชื้อโควิด-19 อย่างถูกต้อง และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆต้องมีการจัดการที่ดี จำกัดจำนวนการเข้าพื้นที่ของประชาชนไม่ให้แออัดกันจนเกินไปนั่นเอง
ในช่วงของวันหยุดแรงงานจีนหลายสำนักข่าวต่างจับตาตัวเลขนักท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆทั่วประเทศ โดยในวันที่ 1 พ.ค. วันหยุดวันแรกการเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆของประชาชนจีนในประเทศมีจำนวน 23.2 ล้านคน เงินสะพัดรายรับจากการท่องเที่ยว 9,700 ล้านหยวน และวันที่ 2 พ.ค.จำนวนประชาชนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศสะสมเพิ่มเป็น 30.9 ล้านคน สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆทั่วประเทศจีนเปิดดำเนินการแล้ว 8,498 แห่ง คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมด ทั้งนี้ผู้เขียนเชื่อว่าหลังวันหยุดยาวผ่านไป สถิติการเดินทางท่องเที่ยวของประชาชนในประเทศและการจับจ่ายน่าจะเห็นตัวเลขที่น่าชื่นใจอยู่บ้าง
ตัวเลขที่น่าสนใจอีกอันนึงคือการท่องเที่ยวของมณฑลหูเป่ยซึ่งหลังจากโรคระบาดโควิด-19 ระดับการป้องกันฯยังคงอยู่ที่ระดับสอง สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเปิดรอรับนักท่องเที่ยวทั้งหมด 22 แห่ง มีจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงวันที่ 1พ.ค. จำนวน 1 แสนกว่าคนเท่านั้น รายรับ 6.7 ล้านหยวน ซึ่งยังถือว่าซบเซาอยู่เพราะหากเทียบกับปีที่แล้วตัวเลขลดลงประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ทำให้เราเห็นว่าโควิด-19นำความเสียหายมาให้มณฑลหูเป่ยมีอยู่ไม่น้อยและต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการเรียกคืนความมั่นใจ
วันแรงงานของจีนในปีนี้ถือว่าเป็นวันหยุดที่มีความหมาย เพราะนับเป็นวันหยุดยาวแรกตั้งแต่ที่จีนที่ได้ผ่อนปรนมาตรการปลดล็อกจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนเริ่มกลับมาและหลายฝ่ายตั้งตารอให้สถานการณ์ชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจในประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็วนั่นเองค่ะ
