xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights : จีนใหม่ กับ 70 ปีที่ผ่านมา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ภาพบริเวณใจกลางกรุงปักกิ่งเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเขตธุรกิจใจกลางเมือง หรือ CBD  (เครดิตภาพ: China.com)
โดย ดร.ร่มฉัตร จันทรานุกูล

วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันครบรอบการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 2019 นี้เป็นปีที่ครบรอบ 70 ปีของการสถาปนาจีนใหม่ภายใต้การนำพรรคคอมมิวนิ้สต์ (1949-ปัจจุบัน) การครบรอบวาระสถาปนาฯทุกๆ 10 ปีถือเป็นวันชาติใหญ่ ดังนั้นงานวันชาติจีนในปีนี้จึงจัดกันอย่างยิ่งใหญ่ มีทั้งการเดินสวนสนามกองทัพปลดแอกประชาชนจีน(พีแอลเอ) การโชว์อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมากที่สุดกว่าพาเหรดกองทัพในวันชาติใหญ่ครั้งที่ผ่านมา

ในด้านการพัฒนาประเทศ จีนเริ่มต้นจากติดลบ! ฝ่าฟันอุปสรรคนานาจนประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นในปัจจุบัน จีนมีสโลแกนสั้นๆแสดงถึงการเติบโตของประเทศใน 70 ปีที่ผ่านมาว่า “ชนชาติจีนเริ่มจากการลุกขึ้นมา รวยขึ้นมา และแข็งแกร่งขึ้นมา”

ในสโลแกนนี้มีความหมายลึกซึ้งแสดงให้เห็นว่าคนจีนเริ่มจากติดลบ ลุกขึ้นมาหรือยืนขึ้นมา อีกนัยยะหนึ่งคือเริ่มลืมตาอ้าปาก...จนถึงยุคที่ประเทศร่ำรวยขึ้นมา ประชาชนมีเงินกินใช้...และขณะนี้ได้แข็งแกร่งขึ้นมา อันหมายถึงเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ

ชนชาติจีนมีความภาคภูมิใจกับประเทศของตน และมีการสร้างวาทกรรมตอกย้ำให้คนรุ่นหลังระลึกว่ากว่าจะมาเป็นจีนทุกวันนี้นั้นไม่ง่าย ไม่ลืมอดีต ไม่ลืมคติเมื่อเริ่มต้นและเดินไปข้างหน้า

ความต้องการปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่าง เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการเดินทางของประชาชนจีนมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากใน 70 ปีที่ผ่านมา ผู้เขียนจะขอเล่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานของชาวจีนที่พัฒนาไปพร้อมๆกับการพัฒนาประเทศในแต่ละช่วงยุคสมัย

เสื้อผ้า- ในยุคก่อนการปฎิรูป เสื้อผ้าที่ชาวจีนใส่กันล้วนมาจากการได้ผ้ามาตามโควต้าของแต่ละบ้านแต่ละคน แล้วเอามาตัดเสื้อผ้าใส่กันเอง เพราะว่าสเกลการผลิตยังไม่ใหญ่มากพอในตอนนั้นทำให้ผ้าไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชนทั้งหมด แค่ประกันว่าทุกคนมีผ้าเพื่อเอาไปตัดเสื้อผ้าใส่เท่านั้น หากย้อนกลับไปดูภาพประชาชนจีนในยุคนั้นจะเห็นว่าแบบสไตร์ค่อนข้างเชยๆ สีก็จะมีสีเขียว สีดำ สีกรมท่า หม่นๆ ในยุคนั้นมีประโยคฮิตติดปากว่า “ใหม่สามปี เก่าสามปี เย็บๆปะๆอีกสามปี” แสดงให้เห็นว่ายุคนั้นอยู่ในช่วงที่ขาดแคลน มีเสื้อผ้านุ่งห่มถือว่าไม่เลวแล้ว

แต่หลังจากการปฎิรูปเริ่มมีโรงงานผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ แบบเสื้อผ้า สีสันและลวดลายมีมากขึ้น ไม่ต้องไปนั่งเย็บตัดเองอย่างสมัยก่อน ทำให้การใช้ตั๋วแลกผ้าค่อยๆถูกยกเลิกไปและผู้คนเริ่มที่จะซื้อเสื้อผ้ามาสวมใส่แทนการตัดเย็บเอง ในปัจจุบันความต้องการการใส่เสื้อผ้าของคนจีนเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ไม่ใช่แค่ต้องการเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเพื่อสวมใส่เพื่อปกปิดร่างกายเท่านั้นแต่ยังต้องการมีสีสัน แฟชั่นและมีแบรนด์ยอดนิยมตามยุคสมัยใหม่อีกด้วย
การสัญจรของชาวจีนเมื่อ 70 ปีที่แล้ว อาศัยจักรยานเป็นหลัก (เครดิตภาพ: China.com)
อาหาร- ในยุคก่อนการปฎิรูปฯถึงยุคต้นๆของการปฎิรูป กำลังการผลิตสินค้าเกษตรของจีนยังล้าหลังมาก ข้าวสาร อาหารแห้ง ไม่เพียงพอกับความต้องการของคนในประเทศ ทำให้ในช่วงนั้นคนยังอดอยากเป็นจำนวนมาก แต่ละบ้านต้องใช้ตั๋วไปแลกข้าวสาร เนื้อสด และสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ แต่ละบ้านมีโควต้าที่จำกัด

จนถึงต้นปี 90 เริ่มมีการนำเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานทางการเกษตรมาใช้ ทำให้ผลผลิตมากขึ้น และเริ่มที่จะเป็นระบบตลาด ทำให้ประชาชนสามารถใช้เงินซื้อข้าว เนื้อสัตว์ต่างๆได้อย่างเสรี หลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลจีนมีนโยบายพยายามให้ทุกครัวเรือนกินดีอยู่ดี พร้อมกับเศรษฐกิจที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้ความอดอยากหายไป

ที่อยู่อาศัย - ในอดีตบ้านพักอาศัยของประชาชนจีนถูกจัดการโดยรัฐ หน่วยงานที่ทำงานจะจัดที่พักอาศัยให้ ความเป็นอยู่ของคนจีนสมัยก่อนคือบ้านชั้นเดียวที่ก่อจากอิฐแดง พื้นปูด้วยปูนซีเมนต์ หลังคาสังกะสีง่ายๆ ต่อมามีการปฏิรูปจัดสรรที่ดิน แล้วสร้างเป็นอพาร์ทเมนท์ขึ้นมาแล้วแบ่งจ่ายให้กับพนักงานและคนงานในหน่วยงานต่างๆที่ตนทำงานอยู่ หลังจากนั้นมารัฐเริ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้าสู่ระบบตลาด มีการซื้อขายได้ รัฐไม่โอบอุ้มอีกต่อไป ทำให้ราคาบ้านในจีนแพงเอาๆ อย่างรวดเร็ว

หลังยุค 90 เป็นต้นมา คนจีนเริ่มซื้อบ้านที่อยู่อาศัยของตนเอง ส่วนคนที่เงินเหลือก็ซื้อไว้หลายที่ ซื้อบ้านเดี่ยว ซื้อบ้านไว้เก็งกำไร เป็นต้น ทำให้เห็นว่าทุกวันนี้คนจีนไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างในอดีตอีกต่อไป

การเดินทาง- ในอดีตการเดินทางหลักของคนจีนคือ การเดินเท้าและปั่นจักรยานในยุคต้นการปฏิรูปประเทศไปจนถึงต้นทศวรรษที่ 90 จีนเป็นประเทศที่มีการใช้จักรยานมากที่สุด การเดินทางไกลอย่างการนั่งรถสาธารณะหรือการนั่งรถไฟ ไม่สะดวกสบายและแออัดอย่างมาก และสำหรับการนั่งเครื่องบินด้วยแล้วในยุคนั้นถือว่าไกลเกินเอื้อมสำหรับประชาชน

หลังจากการพลิกโฉมด้านการคมนาคมของจีน ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีรถไฟความเร็วสูงบริการประชาชนเป็นอันดับต้นๆของโลก ทุกวันนี้รถไฟฟ้าความเร็วสูงที่วิ่งให้บริการในประเทศจีนมีความยาวทั้งหมด 29,000 กม. ตามเมืองหลักมีรถไฟฟ้าใต้ดินใช้ถ้วนหน้า สองอันดับแรกของเมืองที่มีความยาวรถไฟฟ้าใต้ดินมากที่สุดคือ เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง ซึ่งมีความยาวรถไฟฟ้าใต้ดิน เท่ากับ 650 กม. และ 750 กม. ตามลำดับ
รถไฟจีนทศวรรษที่ 1990 (ภาพซ้าย) เปรียบเทียบกับสภาพภายในตู้ขบวนรถไฟความเร็วสูงในปัจจุบัน  (เครดิตภาพ: China.com)
การนั่งเครื่องบินไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมสำหรับประชาชนอีกต่อไป การเดินทางโดยเครื่องบินกลายเป็นวิธีการเดินทางหลักทางหนึ่งของจีนยุคปัจจุบันนี้ไปแล้ว และการที่แต่ละครอบครัวมีรถยนต์ขับก็กลายเป็นเรื่องปกติของจีนยุคใหม่นี้แล้ว

จากที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างคร่าวๆของปัจจัยพื้นฐานในชีวิตเป็นแค่การยกตัวอย่างให้ง่ายต่อการเข้าใจ ในด้านอื่นๆนั้นจีนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก 70 ปีกับการก่อตั้งสถาปนาจีนใหม่ 40 ปีกับการปฏิรูปและเปิดประเทศ หากนับแค่การเปิดประเทศ 40 ปีที่ผ่านมาถือว่ายังสั้นมาก ดังนั้นจีนยังคงพัฒนาไปได้อีกไกล


กำลังโหลดความคิดเห็น