xs
xsm
sm
md
lg

“ไม่เหนื่อยยาก ไม่เห็นผลสำเร็จ” เรื่องย้อนแย้ง กับเทรนด์ลดชั่วโมงทำงาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีน ผู้ได้ชื่อว่ามีความคิดอ่านทางธุรกิจเฉียบคมที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยของพนักงานบริษัทต่าง ๆ และแนวโน้มกระแสโลก หลัง ปราศัยสนับสนุนการทำงาน 996 ของบริษัทจีน (แฟ้มภาพรอยเตอร์ส)
MGR online / เอเจนซี - สำหรับแจ็ค หม่าแล้ว พลันที่กล่าวสิ่งใดมักมีคนฟังและเห็นดีเห็นงามตามเสมอ แต่ครั้งล่าสุดที่เขากล่าวปราศัยในบริษัทของตนเอง เกี่ยวกับการปลูกฝังวัฒนธรรมการทุ่มเททำงานหนัก หรือ วัฒนธรรมการทำงานของชาวจีนที่รู้จักกันในชื่อ "996" กลับโดนกระแสคนไม่เห็นด้วยจำนวนมาก

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีน ผู้ได้ชื่อว่ามีความคิดอ่านทางธุรกิจเฉียบคมที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค ได้กล่าวปราศัยกับพนักงานในบริษัท แนะนำให้พนักงานโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวพร้อมรับการทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน โดยในมุมมองของเขาเห็นว่า เป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนควรทำ และสนับสนุนนิสัยการทำงาน "996" อันหมายถึงการทำงานระหว่าง 9.00 น. ถึง 21.00 น. หกวันต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในหมู่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของประเทศ และ บริษัทสตาร์ทอัพ

"ถ้าวัยหนุ่มสาว พวกคุณไม่ทำงานด้วยกิจวัตร 996 แล้ว จะมีวัยไหนที่ทำงานแบบนี้ได้อีก คุณคิดหรือว่าการไม่ต้องมีชีวิตทำงานแบบ 996 คือสิ่งที่น่าภูมิใจแล้วหรือ ถ้าคุณไม่อุทิศเวลาและพลังงานของคุณให้มากกว่าคนอื่น คุณจะประสบความสำเร็จอย่างที่คุณฝันปรารถนาได้หรือ" แจ็ค หม่า ชวนคิด

ความเห็นของแจ็ค หม่า ล่าสุดถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็วทันที คนจำนวนมากไม่เห็นด้วย เนื่องจากสวนกระแสกับค่านิยมคนยุคนี้ ซึ่งเน้น "ความสมดุลของชีวิตและงาน" และคนจีนส่วนใหญ่ก็ยังทำงานแบบ พักเที่ยง 2 ชั่วโมง กับการมีเวลางีบหลับกลางวัน

กระแสต่อต้าน 996 นี้ เกิดขึ้นมาได้ระยะหนึ่งแล้วในสังคมออนไลน์ โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กลุ่มประท้วงออนไลน์ ชื่อ "996.ICU" ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีคนทำงานร่วมสนับสนุนจำนวนมาก มีความเห็นว่า การทำงานหนักแบบที่ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี อาทิ JD.com และ Huawei เป็นนั้น มีแต่จะทำให้พนักงานอ่อนเปลี้ย และเร่งชีวิตไปสู่ห้องผู้ป่วยไอซียู ในโรงพยาบาล

คนงานยังได้แชร์ตัวอย่างของชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาที่มากเกินไป และโหวตให้บริษัทที่ขึ้นบัญชีดำอยู่ในอันดับต้น ๆ คือ อาลีบาบา ด้วย

ผู้ใช้เวยปั๋วชื่อบัญชี stupidcan123 แสดงความเห็นตอบกระทู้ของหม่าว่า "บริษัทแบบนี้ เคยคิดถึงผู้สูงอายุที่บ้าน หรือเด็กที่ต้องการการดูแลหรือไม่"

"หากองค์กรทั้งหมดบังคับใช้ตารางเวลา 996 ก็คงจะไม่มีใครมีลูก เพราะไม่มีเวลาส่วนตัว"

ด้านพีเพิลเดลี สื่อของรัฐ ก็ได้ประณามบริษัทที่เน้นชั่วโมงทำงานของพนักงานในลักษณะ 996 (แต่ไม่ได้อ้างอิงโพสต์ของแจ็คหม่า) ว่า "การสนับสนุนการทำงานหนักและความมุ่งมั่น ไม่ได้หมายถึงการบังคับให้ทำงานล่วงเวลา"

"การบังคับใช้วัฒนธรรมการทำงานล่วงเวลา 996 ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวของผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังไม่เป็นธรรมและไม่สามารถทำได้" สื่อรัฐ กล่าว

เมื่อกระแสต่อต้านแรงเช่นนี้ แจ็ค หม่า ผู้ที่จะเกษียณการทำงานในเดือนกันยายนนี้ จึงชี้แจงเพิ่มเติมกับความเห็นของตนที่แสดงออกไป ที่บล็อกโพสต์เวยปั๋วของตน ถึง 2 ครั้งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

“ตามที่ผมคาดไว้ ความคิดเห็นของผมภายในไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับกิจวัตร 996 ทำให้เกิดการวิจารณ์มากอยู่” หม่า เขียนในบล็อกโพสต์

"ผมเข้าใจความเห็นความรู้สึกเหล่านี้ และคำพูดผมก็ทำให้คิดตีความได้ต่าง ๆ นานา"

หม่ากล่าวว่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะปกป้องการทำงานเป็นเวลาแบบ 996 แต่เป็นการแสดงความรู้สึก "เห็นคุณค่า" พนักงานที่ทำงานอุทิศตน

“996 ที่แท้จริงไม่ใช่เพียงแค่การเรื่องทำงานล่วงเวลา” เขากล่าวพร้อมเสริมว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง แต่คนที่ทำงานน้อยชั่วโมง "จะไม่ได้ลิ้มรสความสุขและผลตอบแทนของการทำงานหนัก"

"คงไม่มีใครอยากทำงานกับบริษัทที่บังคับให้คุณต้องมีกิจวัตร 996 เพราะไม่เพียงไม่เห็นพนักงานเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นผลเสียกับสุขภาพ กับชีวิตที่ยั่งยืน นอกจากนี้ คงไม่มีครอบครัวไหน หรือกฎหมายไหนยอมให้ทำแบบนี้" เขากล่าวและว่า "ต่อให้พนักงานได้รับเงินเดือนสูงแค่ไหน ก็คงทนทำงานได้ไม่นาน"

"นอกจากนี้ หากบริษัทคิดจะให้พนักงานทำงานล่วงเวลาเพื่อเพิ่มผลกำไร กลับจะเป็นความล้มเหลวมากกว่า"

แจ็ค หม่า กล่าวในบล็อกโพสต์ว่า สิ่งที่ตนเองหมายถึงและต้องการสื่อความคิดนี้ คือ "หากคุณทำงานด้วยความรัก กิจวัตร 996 นี้ จะไม่ใช่ปัญหาเลย กลับจะเป็นเหมือนมงคลชีวิตด้วยซ้ำ แต่หากคุณไม่ได้หลงใหลงานที่ทำ ทุกนาทีก็คงเป็นความน่าเบื่อ ทรมาน"

หม่า สรุปว่าเขาจะไม่พูดเพื่อเอาใจผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จ แต่ไม่ต้องการทำงานหนัก โดยยืนยันว่า บริษัทไม่ควรบังคับให้พนักงานทำงานล่วงเวลา แต่คนหนุ่มสาวก็ควรเข้าใจว่า “ ไม่เหนื่อยยาก ไม่เห็นผลสำเร็จ”

การลดชั่วโมงทำงานให้สั้นลงของบริษัทต่าง ๆ กำลังเป็นแนวโน้มทั่วโลก คำพูดของหม่าจึงดูขัดแย้งกับกระแสโลกซึ่งปกติหม่า มักเป็นผู้นำกระแสเสมอมา

ตัวอย่างเช่น ประเทศสวีเดนได้ทดสอบการทำงานเพียงสัปดาห์ละ 30 ชั่วโมง ในปี 2560 และพบว่าผู้คนมีความสุขขึ้นและเครียดน้อยลง บริษัทในนิวซีแลนด์ยังพบว่า คนงานมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นเมื่อทำงานสี่วันต่อสัปดาห์

การวิจัยยังพบข้อพึงระวังในการทำงานล่วงเวลามากเกินไปด้วย นักวิทยาศาสตร์ได้เชื่อมโยงการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอกับโรคมะเร็งบางอย่าง น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น และความจำบกพร่อง

ประเทศญี่ปุ่นได้ดำเนินการเพื่อปกป้องพลเมืองจากการทำงานหนัก หลังจากมีรายงานการเสียชีวิตของพนักงานจำนวนมากจากการทำงานล่วงเวลา

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า การทำงานที่สั้นลงจะนำไปสู่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น งานวิจัยแนะนำว่าคนงานมีปัญหาในการจดจ่อกับงานเป็นเวลาหลายชั่วโมง พนักงานยังบอกด้วยว่าพวกเขาสามารถทำงานอย่างมีสมาธิได้ภายในเวลาไม่ถึงห้าชั่วโมงต่อวัน

ด้านนักเศรษฐศาสตร์บอกว่า ประเทศที่พนักงานมีชั่วโมงทำงานมาก กลับสวนทางกับผลิตภาพและจีดีพีต่อชั่วโมงทำงาน

ความเห็นของคนที่พอจะเข้าใจความหมายของการทำงานหนักแบบ 996 ว่าอาจจะหมายถึง คนที่เห็นความหมายของการทำงาน เช่นเดียวกับความหมายของการมีชีวิตอยู่

ทั้งนี้ แจ็ค หม่า และ ริชาร์ด หลิว แห่ง JD.com ไม่ได้เป็นเพียง 2 คนที่เห็นด้วยกับความคิดและการทำงานหนัก-ชั่วโมงงานมาก เพราะเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon และรวยที่สุดในโลกในปีที่ผ่านมา กับ อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัทสเปซเอ็กซ์ และเทสลามอเตอร์ส ต่างก็ได้ชื่อว่า "นอนน้อย ทำงานมาก" เช่นกัน

อีลอน มัสก์ เคยกล่าวใน ทวิตเตอร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า "ไม่เคยมีใครเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ จากการทำงานเพียง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์" และว่า ถ้าต้องการสร้างผลสำเร็จใหญ่ คนเราต้องทำงาน 80 ถึง 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์"

แจ็ค หม่า เองนั้น ยังเคยกล่าวคำคมประทับใจคนว่า "วันนี้อาจสาหัส พรุ่งนี้ยิ่งสากรรจ์ แต่มะรืนนั้น ดวงตะวันส่องแสงเบิกบาน"

“ครั้งหนึ่งในชีวิตของคุณ ควรลองทำอะไรซักอย่าง ทุ่มเทกับบางสิ่ง ลองเปลี่ยนแปลง ผลของมันไม่มีเสียหายแน่นอน” แจ็คหม่า กล่าว

อย่างไรก็ตาม เหตุที่คำปราศัยล่าสุดนี้ของหม่า โดนกระแสอารมณ์ต่อต้าน วิพากษ์วิจารณ์ น่าจะเป็นเพียงเพราะว่าก่อนหน้านี้ สำหรับหม่าเอง เขาเคยบอกกับผู้สื่อข่าวในการสัมภาษณ์อยู่เรื่อยๆ ว่า เขาเสียใจว่า ที่ผ่านมาเอาแต่ทำงานหนักและไม่สามารถอุทิศเวลาให้กับครอบครัวได้มากพอ “ถ้าผมสามารถย้อนชีวิตได้อีก ผมจะไม่มีชีวิตแบบนั้นอย่างแน่นอน”

หม่า บอกไว้ว่า “สิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต คือการก่อตั้งอาลีบาบา (เมื่อปี พ.ศ. 2542) ตอนนั้นผมเพียงแค่ต้องการทำธุรกิจเล็กๆ สักอย่าง ไม่ได้ต้องการให้มันใหญ่โต เพราะต้องรับผิดชอบสูง ปัญหามากมายด้วย”

ปัจจุบัน อาลีบาบา ประกอบด้วยกลุ่มบริษัทย่อย 9 บริษัท รวมกันกลายเป็นระบบนิเวศการค้าออนไลน์ การชำระเงิน โลจิสติกส์และคลาวด์คอมพิวเตอร์ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนจีนไปแล้ว อย่างแยกกันไม่ออก เติบโตเฉลี่ยที่สูงถึง 36.53% ต่อปี มูลค่าการตลาดเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อช่วงปลายเดือน มกราคม 2018 ที่ผ่านมา มีพนักงานมากกว่า 86,000 คน

ในงาน St Petersburg International Economic Forum เดือนมิถุนายน 2559 หม่า ว่า “ถ้าชาติหน้ามีจริง ผมจะไม่ทำธุรกิจแบบนี้อีก ผมต้องการมีความสุขกับชีวิต ขอตายบนชายหาดริมทะเล ไม่ขอตายในออฟฟิศของตัวเอง”


กำลังโหลดความคิดเห็น