ชายจีนผู้หนึ่งโดนหัวขโมยล้วงเงินไปกว่า 12,000 หยวน หรือราว 56,000 บาท โดยมือดีได้ใช้โทรศัพท์มือถือระบบจดจำใบหน้าของเหยื่อ ทำการโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก
สื่อท้องถิ่นมณฑลเจ้อเจียง รายงานเมื่อวันวานนี้(7 เม.ย.) ชายจีนแซ่ หยวน ได้วิ่งแจ้นไปแจ้งความกับตำรวจเมื่อวันอังคาร(2 เม.ย.) เมื่อรู้ว่าเงินในบัญชีเงินฝากหายไปเกลี้ยง
จากการสืบสวนตำรวจระบุว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนสองคนของนายหยวน เป็นผู้ฉกเงินไป โดยพวกเขาได้ปลดล็อคโทรศัพท์มือถือระบบจดจำใบหน้าขณะที่นายหยวนกำลังนอนหลับ และใช้ วีแชทเพย์ (WeChat Pay) โอนเงินเข้าบัญชีของพวกเขา ต่อมานายหยวนก็ได้เงินคืน
ทั้งนี้ตำรวจไม่ได้เผยยี่ห้อโทรศัพท์มือถือ แต่ตำรวจผู้ไม่เผยนามบอกว่าราคาโทรศัพท์มือถือ ราว 1,000 หยวน หรือราว 5,000 บาท
“ดูเหมือนว่าระบบจดจำใบหน้าบนมือถือของนายหยวน เชื่อถือไม่ได้ เราได้ทดลองใช้ระบบฯดูแล้ว สามารถปลดล็อคมือถือได้โดยที่ตาปิดอยู่”
โทรศัพท์มือถือติดตั้งระบบจดจำใบหน้ากำลังเป็นที่นิยมในจีน โดยเชื่อว่าเป็นระบบความปลอดภัยเทคโนโลยีใหม่ที่เชื่อได้แน่นอน แต่ระบบจดจำใบหน้าบางรุ่นไม่ได้กำหนดให้ต้องสแกนม่านตา จึงเปิดโอกาสให้ผู้อื่นปลดล็อคมือถือได้ง่าย
ปัจจุบันจีนกลายเป็นผู้นำเทคโนโลยีระบบจดจำใบหน้า (facial recognition technology) และกำลังแทรกซึมเข้าสู่ชีวิตประจำของผู้คนอย่างรวดเร็ว
แอพพลิเคชั่นคอมพิวเตอร์ไบโอเมทริกซ์ (Biometric computer applications) ซึ่งอ้างอิงฐานข้อมูลจำนวนมหาศาลของภาพดิจิตัล และใช้เทคโนโลยีหลากหลาย รวมทั้งการสแกนม่านตา กำลังถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในระบบเฝ้าระวังและตรวจตราความปลอดภัย สกัดกลุ่มอาชญากรที่ต้องสงสัย ไปยันพวกหัวขโมย
ในปี 2015 กระทรวงความปลอดภัยสาธารณะได้ดำเนินโครงการสร้างฐานข้อมูลจดจำใบหน้าที่ทรงพลังที่สุดในโลก เพื่อที่จะระบุตัวตนของพลเมืองมากกว่า 1,300 ล้านคนของประเทศ โดยการจับคู่ภาพสแกนใบหน้ากับภาพบนบัตรประจำตัวของพวกเขาภายใน 3 วินาที ด้วยอัตราความแม่นยำสูง 90 เปอร์เซ็นต์
บริษัท เทนเซ็นท์ ผู้พัฒนาแอพฯ WeChat Pay ได้ใช้ระบบจดจำใบหน้าสำหรับการใช้จ่ายในภาคค้าปลีก การเดินทาง และโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ประชาชนยังสามารถใช้ระบบจดจำใบหน้า ถอนเงินจาก ATMs