xs
xsm
sm
md
lg

ฮ่องกงห่างชั้นสิงคโปร์ มลพิษอากาศ ฉุดร่วงความน่าอยู่ต่ำสุดในรอบ 10 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

หมอกฝุ่นพิษปกคลุมเมืองฮ่องกง ในวันที่คุณภาพอากาศไม่ดี (ภาพเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์)
MGR Online / เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ - สัปดาห์นี้ ECA International ซึ่งเป็นหน่วยงานสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับค่าครองชีพ เงินเดือน ที่พักอาศัย ภาษี กฎหมายแรงงาน สิทธิประโยชน์และคุณภาพชีวิต ในกว่า 400 แห่งทั่วโลก ได้เผยรายงานการสำรวจอันดับความน่าอยู่ของเมืองต่างๆ พบว่า ฮ่องกงแดนแห่งศักยภาพทางเศรษฐกิจของโลก ตกอันดับในเรื่องคุณภาพชีวิต ความน่าอยู่ หลังจากปีที่ผ่านมาต้องเผชิญปัญหารอบด้าน ทั้งมลพิษ มลภาวะ พายุไต้ฝุ่น ไข้หวัดใหญ่ และความตึงเครียดทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ชาวต่างชาติเป็นกังวล

การสำรวจโดย ECA International ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พบว่า สำหรับชาวต่างชาติซึ่งเป็นชาวเอเชียต่างถิ่น ฮ่องกงได้กลายเป็นที่ที่ไม่น่าอยู่มากขึ้น โดยตกอันดับมาอยู่ที่ 41 ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี

มลพิษอากาศในระดับสูงของเมือง ความไร้ประสิทธิภาพการเผชิญอุบัติภัยไต้ฝุ่นมังคุดเมื่อปีที่แล้ว และวิกฤตสุขภาพ ยังทำให้ฮ่องกงเทียบกับสิงคโปร์ไม่ได้เลย โดยสิงคโปร์เป็นแชมป์มาตลอด 17 ปี ส่วนฮ่องกงปีนี้ตามหลังสิงคโปร์ 40 ลำดับ อยู่ที่อันดับ 41

การศึกษาของ ECA International ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญภายในองค์กร ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา มีข้อมูลสำรวจครอบคลุมประมาณ 480 แห่งทั่วโลก การวิจัยได้ดำเนินการในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 มีปัจจัยที่นำมาพิจารณาประกอบด้วย มลพิษ ความตึงเครียดทางสังคม - การเมือง วัฒนธรรม และปัญหาสุขภาพ แต่ไม่รวมพิจารณาด้านค่าครองชีพ

ลี เฉวียน ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียของ ECA International กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายของฮ่องกงคือมลพิษในเมือง

“มลพิษทางอากาศ คือความจริงที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของฮ่องกง ไม่ต่างกับพื้นที่ในประเทศกำลังพัฒนาอื่น เช่น กรุงเทพ, มะนิลา และเซี่ยงไฮ้” ลี เฉวียน กล่าว

นอกจากนี้ พายุไต้ฝุ่นมังคุด ยังฉุดอันดับน่าอยู่ของฮ่องกงให้ร่วงต่ำลงเช่นกัน ปีที่แล้วไต้ฝุ่นระดับ 10 ที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่มีการบันทึกในปี 2489 ถาโถมเกาะนานเป็นเวลา 10 ชั่วโมง แม้ไม่มีการบันทึกการบาดเจ็บ เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ก็ก่อความเสียหายมหาศาล ต้นไม้กว่า 1,500 ต้นโค่นล้มระเนระนาด สายการบินต้องยกเลิกทั้งหมด 889 เที่ยวบิน ในวันที่มังคุดออกฤทธิ์รุนแรงสุด

“ไต้ฝุ่นมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้คน โครงสร้างพื้นฐานและก่อปัญหาการใช้ชีวิต อยู่สองถึงสามวัน หลังจากที่มันพัดฮ่องกง” เฉวียน กล่าว

เมืองฮ่องกงมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการดูแลสุขภาพที่ดี แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพเนื่องจากมีประชากรหนาแน่น ซึ่งการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ทำให้ต้องปิดโรงเรียนอนุบาลและศูนย์ดูแลเด็กทุกแห่งในฮ่องกง เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ล่วงหน้าวันตรุษจีน

เฉวียน แสดงความกังวลเกี่ยวกับช่องว่างลำดับที่ห่างไปเรื่อยๆ ระหว่างฮ่องกงและสิงคโปร์ ว่าถ้า [ชาวต่างชาติ] เห็นว่ามีช่องว่างที่สำคัญในสภาพความเป็นอยู่ระหว่างสิงคโปร์และฮ่องกง และพวกเขามีทางเลือกที่จะย้ายไปยังเมืองใดเมืองหนึ่ง พวกเขาอาจเลือกสิงคโปร์แทน

เฉวียนกล่าวว่า ไม่น่าแปลกใจสำหรับสิงคโปร์ ที่ยังคงเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติที่ย้ายถิ่นฐานจากที่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออก เพราะมีปัจจัยหลายประการทำให้สิงคโปร์เป็นสถานที่ที่เหมาะควร เช่นการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ยอดเยี่ยม อัตราอาชญากรรมต่ำ การดูแลสุขภาพและการศึกษาที่มีคุณภาพดี แม้ว่าหลาย ๆ เมืองในเอเชียจะให้ผลประโยชน์ที่คล้ายคลึงกันกับแรงงานต่างชาติ แต่สิงคโปร์ก็ยังเป็นประเทศที่อยู่อันดับต้น ๆ และดูเหมือนจะยังครองแชมป์ได้อีกหลายปี

อย่างไรก็ตาม เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า แม้สภาพชีวิตในฮ่องกงจะเป็นเช่นนี้ ประกอบกับค่าครองชีพในฮ่องกงสูงลิ่ว ทั้งค่าเช่าบ้าน รายจ่ายประจำวัน แต่ชาวต่างชาติยังคงให้ความสนใจที่จะทำงานที่ฮ่องกงอยู่ โดยในปีที่แล้วข้อมูลสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เผยจำนวนวีซ่าการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 30

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา มีจำนวนวีซ่าการทำงานของชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 30 ในขณะที่ บริษัทจัดหางานของเมืองได้รายงานความสนใจจากลูกค้าต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการแก้ปัญหามลพิษอากาศนั้น ลี เฉวียน ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชีย ECA International ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินงานให้ดีขึ้นในนโยบายการจัดการมลพิษ แนะนำให้เน้นความสำคัญของการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ปรับปรุงรถยนต์ รถโดยสารให้ก่อมลภาวะน้อยลง ตลอดจนจำกัดการเป็นเจ้าของและการใช้รถยนต์ส่วนตัว

มาดูกันว่า 20 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ (ที่เป็นคนเอเชีย) ประจำปี 2019 ได้แก่

อันดับ 1. สิงคโปร์
อันดับ 2. บริสเบน, ออสเตรเลีย
อันดับ 2. ซิดนีย์, ออสเตรเลีย
อันดับ 4. แอดิเลด, ออสเตรเลีย
อันดับ 5. โอซาก้า, ญี่ปุ่น
อันดับ 5. นาโกย่า, ญี่ปุ่น
อันดับ 5. โตเกียว, ญี่ปุ่น
อันดับ 8. เวลลิงตัน, นิวซีแลนด์
อันดับ 9. แคนเบอร์รา, ออสเตรเลีย
อันดับ 10. เพิร์ธ, ออสเตรเลีย
อันดับ 10. โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก
อันดับ 10. โยโกฮามา, ญี่ปุ่น
อันดับ 13. อูเทรคต์, เนเธอร์แลนด์
อันดับ 14. เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย
อันดับ 14. เบิร์น, สวิตเซอร์แลนด์
อันดับ 14. โอ๊คแลนด์, นิวซีแลนด์
อันดับ 17. ดาร์วิน, ออสเตรเลีย
อันดับ 17. อัมสเตอร์ดัม, เนเธอร์แลนด์
อันดับ 17. ไอนด์โฮเฟ่น, เนเธอร์แลนด์
อันดับ 17. เฮก, เนเธอร์แลนด์
อันดับ 17. ตาวังเงร์, นอร์เวย์
อันดับ 17. เจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์


กำลังโหลดความคิดเห็น