โดย พชร ธนภัทรกุล
สมัยเด็ก อาม่ามักคอยเตือนเสมอเรื่องการทานผไม้ต่างๆว่า อย่ากินมากเกินไป มันจะไม่ดีต่อตัวเรา เช่น อย่ากินทุเรียนมาก เดี๋ยวจะมีอาการร้อนใน หรืออย่ากินลำใยมาก เดี๋ยวจะตาแฉะ อย่ากินส้มมาก เดี๋ยวจะเป็นแผลในช่องปาก และอื่นๆอีกหลายคำเตือน
อาม่าบอกว่า เพราะผลไม้พวกนี้ทำให้เรามีอาการ “คะยัวะ“ (เสียงแต้จิ๋ว) หรือ ที่เรียกกันว่า ร้อนใน หมายความว่า ร่างกายเกิดภาวะที่ “ร้อนเกินไป” นั่นเอง
เวลานั้น ผมไม่เข้าใจดอกว่า เรื่อง “ร้อนๆ” ที่อาม่าเฝ้าพร่ำเตือนเสมอ คืออะไร และมันมีผลเสียต่อตัวเราได้อย่างไร พูดจริงๆแล้ว ก็คือไม่รู้เลยว่า อาม่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร คงรู้ตามประสาเด็กว่า ผู้ใหญ่ไม่ให้กินมาก ก็อย่ากิน จะได้ไม่ถูกดุถูกเอ็ด และอย่าถามมาก เพราะขืนถามมาก เดี๋ยวพาลถูกดุเอา
อาม่าไม่เคยให้คำตอบที่เป็นเหตุเป็นผลดีไปกว่า เชื่อที่ผู้ใหญ่ไว้บ้างก็ดี เพราะอย่างน้อยผู้ใหญ่ก็เตือนด้วยความหวังดี
อันที่จริง ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ของอาม่า ก็มาจากแหล่งความรู้ไม่กี่แห่ง คือคำสอนของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย (ของอาม่า) คำแนะนำของซินแสร้านยาจีน ญาติมิตร เพื่อนบ้าน และคนรู้จัก ซึ่งในนี้ก็มีทั้งคนที่รู้จริงหรือคนที่รู้จริงบ้างไม่จริงบ้าง และสุดท้ายคือประสบการณ์ของอาม่าเอง ทำนองอาบน้ำร้อนมาก่อน
อาม่าเชื่อคำแนะนำเหล่านี้และสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้มาเองว่า ถูกต้องเชื่อถือได้ หรืออย่างน้อยก็ควรทำตาม ทำนองว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” “ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่” นั่นแหละ
อาม่าอาจไม่สามารถร้อยเรียงความรู้จากคำแนะนำเหล่านี้ ให้มีหลักมีการหรือทฤษฎีอะไรได้ จึงใช้วิธีถ่ายทอดความรู้ให้ลูกหลานในแบบของชาวบ้าน คือสอนก็ให้ฟัง ไม่ต้องให้สาธยายแจกแจงเหตุผลอะไรมาก จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ช่าง แต่อยากให้เชื่อฟังตามนั้นก็พอ
แต่อาม่าก็เก่งพอที่จะสรุป “เนื้อหาความรู้” บางอย่างในคำแนะนำเหล่านั้นว่า มีสองสิ่งที่ผูกโยงอยู่ด้วยกัน คือสุขภาพกับคุณสมบัติของอาหารและผลไม้ ซึ่งเป็นการจับคู่ที่ถูกต้องตามวิชาโภชนาการแผนจีน และเมื่อผมได้เรียนรู้อะไรที่มากกว่า “คำสอนของอาม่า” ผมก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ความรู้บางอย่างที่ได้จากอาม่า มันตรงตามวิชาโภชนาการแผนจีนพอดี
หลักโภชนาการจีนยึดหลักเดียวกับทฤษฎีการแพทย์จีนที่มองว่า ร่างกายของแต่ละคนมีภาวะสุขภาพและการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับที่ผลไม้ก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากต้องการกินผลไม้เพื่อดูแลสุขภาพ ก็ต้องคำนึงถึงภาวะสุขภาพกับคุณสมบัติของผลไม้ไปพร้อมกัน จะนึกถึงแต่คุณสมบัติที่มีอยู่ในผลไม้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูภาวะสุขภาพของตัวเองประกอบด้วย เพราะการกินผลไม้มากไปหรือเลือกกินเฉพาะแต่ผลไม้บางชนิด ก็อาจทำให้เราไม่สบายได้ ด้วยผลไม้ที่กินเข้าไปได้ไปทำให้ภาวะสุขภาพของร่างกายเราเสียสมดุลไปนั่นเอง
ทฤษฎีการแพทย์จีนแบ่งภาวะสุขภาพของคนเราออกอย่างง่ายๆคือ เย็น เย็นจัด อุ่น ร้อน และเมื่อเอาหลักการนี้มาใช้กับผลไม้ เราก็จะแบ่งคุณสมบัติของผลไม้ได้ตั้งแต่เย็นถึงเย็นจัด อุ่นถึงร้อน ด้วยเช่นกัน
เมื่อเรารู้ภาวะสุขภาพของร่างกายเช่นนี้ เราก็สามารถเลือกกินผลไม้ที่มีคุณสมบัติเหมาะกับภาวะสุขภาพของเราได้ ซึ่งจะเป็นการเสริมหรือปรับภาวะสมดุลของร่างกายเรา เช่นนี้จึงจะเป็นการกินผลไม้เพื่อการบำรุงดูแลสุขภาพ
เรามาเริ่มจากร่างกายมีภาวะ “เย็นถึงเย็นจัด” หมายถึงร่างกายสร้างพลังงานความร้อนได้น้อย ซึ่งมักแสดงอาการบางอย่างให้เห็น เช่น อุ้งมืออุ้งเท้าค่อนข้างเย็น สีหน้าซีดกว่าคนปกติทั่วไป เหงื่อออกง่าย อุจจาระเหลว ปัสสาวะใส ผิวซีด ปากจืด ชอบดื่มเครื่องดื่มหรือน้ำร้อนๆ มักไม่รู้สึกกระหายน้ำแม้แต่ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวก็ตาม
คนที่มีภาวะสุขภาพเช่นนี้ จะรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวเมื่อต้องอยู่ในห้องปรับอากาศเย็นๆหรือเมื่อเข้าฤดูหนาว แต่จะรู้สึกสบายขึ้นเมื่อได้ดื่มเครื่องดื่มร้อนๆหรือสวมใส่เสื้อผ้าเพิ่ม คนเหล่านี้จึงมักไม่ชอบอะไรที่เย็นๆ
ถ้ากินผลไม้ (และอาหาร) ที่มีคุณสมบัติเย็นจะยิ่งไปเพิ่มภาวะ “เย็น” แก่ร่างกาย ซึ่งนั่นจะทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี โดยเฉพาะส่วนปลายของหลอดเลือด ทำให้รู้สึกเย็นหรือมีอาการเหน็บชาตามมือเท้าได้ ยิ่งเมื่อถูกอากาศเย็นหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็น จะยิ่งมีอาการมากขึ้น บางคนอาจมีอาการปวดเนื้อปวดตัวด้วย คนกลุ่มนี้ควรเลือกกินผลไม้ที่มีคุณสมบัติร้อนไว้จะดีกว่า
ในทางตรงข้าม คนที่ร่างกายมีภาวะ “อุ่นถึงร้อน” หมายถึงคนที่ร่างกายสร้างพลังงานความร้อนได้มาก คนเหล่านี้มักรู้สึกเหมือนมีความร้อนสุมอยู่ในร่างกาย หน้าแดง คอแห้งบ่อย ปัสสาวะมีสีเข้ม มักท้องผูกบ่อย ชอบดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ และรู้สึกสบายตัวขึ้นเมื่อได้อยู่ในห้องปรับอากาศเย็นๆหรือในสภาพแวดล้อมที่เย็น
คนที่มีภาวะร่างกายเช่นนี้ไม่ควรกินผลไม้ที่มีคุณสมบัติร้อน แต่ถ้าได้กินผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น จะช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายขึ้น และบรรเทาความรู้สึกเหมือนมีความร้อนสุมอยู่ในร่างกายได้
ยังมีภาวะสุขภาพอีกอย่างงหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือ ความสามารถในการต้านทานโรคของร่างกาย คนที่ร่างกายสามารถต้านทานโรคหรือสิ่งเร้าจากภายนอกได้ดี แพทย์แผยจีนเรียกสภาวะร่างกายเช่นนี้ว่า “ซิก” (实เสียงแต้จิ๋ว) แต่ถ้าเป็นไปในทางกลับกัน จะเรียกว่า “ฮือ” (虚เสียงแต้จิ๋ว)
เมื่อใดที่ร่างกายเกิดภาวะ “ซิก” ก็จะมีอาการส่อไปในลักษณะที่ “มากเกินไป” เช่น มีไข้ง่าย หงุดหงิดง่าย หายใจแรง ท้องอืดและท้องผูกง่าย แต่เมื่อใดที่ร่างกายเกิดภาวะ “ฮือ” จะมีอาการส่อไปในทาง “พร่อง ไม่พอ ขาดไป” เช่น เรี่ยวแรงถดถอย จิตใจห่อเหี่ยว ซึม เป็นต้น
นอกจากนี้ร่างกายเรายังอาจมีภาวะต่างๆปนเปกันอย่างซับซ้อนซึ่งคงไม่ขอพูดถึง ด้วยเป็นเรื่องที่ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์จีนเป็นผู้วินิจฉัย
ทีนี้เรามาพูดถึงเรื่องคุณสมบัติของผลไม้ หลักการแพทย์จีนเชื่อว่า ผลไม้ (หรืออาหาร)ที่เรากินเข้าไป จะไปก่อให้เกิดภาวะ “หนาว เย็น อุ่น ร้อน” ขึ้นในร่างกาย แต่ถ้าไม่เกิดภาวะดังกล่าว แสดงว่าได้เกิดภาวะ “เป็นกลาง” ขึ้นแทน ซึ่งผลไม้แต่ละชนิดล้วนมีคุณสมบัติที่จะก่อให้เกิดภาวะดังกล่าวขึ้นในร่างกาย ซึ่งจะขอแบ่งออกง่ายๆได้ 3 ประเภทคือ ผลไม้ที่มีคุณสมบัติหรือก่อให้เกิดภาวะ “อุ่นถึงร้อน” “เย็นถึงเย็นจัด” และ “เป็นกลาง”
ผลไม้ที่มีคุณสมบัติ “อุ่นถึงร้อน” คือผลไม้ที่ให้พลังงานความร้อนสูงหรือมีแคลอรี่สูง และมักเป็นผลไม้ที่มีรสหวานหรือมีส่วนประกอบของน้ำตาลมาก กินแล้วจะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักเพื่อขับน้ำตาลออก และนี่เองที่ทำให้ร่างกายเกิดภาวะ “ร้อน” เพราะมีพลังงานความร้อเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ผลไม้ที่จัดว่ามีคุณสมบัติอุ่นหรือร้อนเช่นนี้ได้แก่ ลำใย ลิ้นจี่ เงาะ มะปราง มะยง มะม่วง (สุก) ทุเรียน ขนุน เนื้อมะพร้าว ส้มจี๊ด ทับทิม เงาะ ฝรั่ง น้อยหน่า เสาวรส เชอรี่ พุทราจีน บ๊วยดำ ลูกท้อ ลูกเห็ง ลูกไหน เกาลัด เป็นต้น
ผลไม้เหล่านี้เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายมีภาวะ “เย็น” รับประทาน ส่วนคนที่ร่างกายมีภาวะ “ร้อน” ควรรับประทานแต่พอประมาณ
ผลไม้ที่มีคุณสมบัติ “เย็นถึงเย็นจัด” มักเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างฉ่ำน้ำ มีรสหวานน้อย กินแล้วทำให้ร่างกายสร้างสารเหลวเพิ่มขึ้น มีผลทำให้ช่วยลดภาวะร้อนในร่างกาย ทำให้เกิดภาวะ “เย็น” ขึ้น
ผลไม้ที่จัดว่ามีคุณสมบัติเย็นและเย็นมาก ได้แก่ ส้ม ส้มโอ ส้มเช้ง กล้วยหอม สับปะรด แตงโม แตงไทย มะเฟือง ชมพู่ กระจับ มังคุด อ้อย แห้ว แก้วมังกร มะม่วง (ดิบ) มะขามป้อม แคนตาลูป ผลกีวี ลูกพลับสด ลูกพลับแห้ง ผลสาลี่ สตรอเบอร์รี่ เป็นต้น
คนที่ร่างกายมีภาวะ “เย็น” ไม่ควรรับประทานมากเไป เพื่อมิให้ร่างกายมีภาวะ “เย็น” เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอลงไปอีก
ผลไม้ที่มีคุณสมบัติ “เป็นกลาง” ได้แก่ องุ่น มะละกอ มะไฟ แอปเปิ้ล สมอ ชมพู่ บ็วย พุทรา น้ำมะพร้าว กะทกรก เป็นต้น
ผลไม้เหล่านี้เหมาะสำหรับทุกคนที่มีสุขภาพเป็นปกติ ดังนั้น ใครๆก็กินได้โดยไม่มีข้อห้ามอะไร เว้นแต่อย่าทานมากไปเท่านั้น เพราะผลไม้บางอย่าง แม้จะมีคุณสมบัติเป็นกลาง แต่ก็อาจค่อนไปทางเย็น (เช่น แอปเปิ้ล) หรือค่อนไปทางร้อน (เช่น องุ่น) จึงไม่ควรทานมากไป