เอเจนซีส์--ยอดขายวันคนโสดของอาลีบาบา กรุ๊ป ทุบสถิติ 213,500 ล้านหยวน หรือ ราวกว่า 1.06 ล้านล้านบาท (30,800 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตอกย้ำถึงการฟื้นตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคในจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
มหกรรมจับจ่ายซื้อสินค้าในวันคนโสด “ 11.11” จัดโดยอาลีบาบา กรุ๊ป ทำสถิติติมูลค่าการซื้อขายในวันเดียวเมื่อวานนี้ (11 พ.ย.) เท่ากับ 213,500 ล้านหยวน (30,800 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือคิดเป็นเงินไทย ราวกว่า 1.06 ล้านล้านบาท โดยยอดการซื้อขาย (Gross Merchandise Value - GMV) สูงกว่ายอด GMV ของปีที่แล้ว คิดเป็นอัตราเพิ่ม ราว 27 เปอร์เซ็นต์
การทำยอดขายวันคนโสดจีนได้ถล่มทลายขนาดนี้ เป็นเพราะรวมยอดขายของ Lazada ที่ยึดหัวหาดในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับยอดขายของบริษัทในเครือ Ele.me (เอ้อเลอมา), เครือข่ายร้านสาขาของซูเปอร์มาร์เก็ต Hema (เหอหม่า) และหน่วยธุรกิจอื่นๆ
“กลุ่มผู้บริโภคจีน โดยเฉพาะกลุ่ม มิลเลนเนียล* มีความมั่นใจในอนาคตมากขึ้น ทำให้พวกเขาออกมาจับจ่าย” Jeffrey Towson อาจารย์ประจำสถาบันศึกษาด้านการจัดการของมหาวิทยาลัยกวงหวาแห่งปักกิ่ง (Peking University Guanghua School of Management) กล่าว
Joe Tsai (ไช่ จงชิ่น) รองประธานบริหารอาลีบาบา บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อวานนี้(11 พ.ย.) ในเซี่ยงไฮ้ว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ไม่อาจหยุดการเติบโตของกลุ่มผู้โภคชนชั้นกลางในจีน โดยมีกระแสคาดการณ์ว่ากลุ่มชนชั้นกลางนี้จะขยายเป็นเท่าตัว ถึง 600 ล้านคนใน 10-15 ปีข้างหน้า พร้อมศักยภาพด้านการใช้จ่ายที่ยกระดับขึ้นในระยะยาว
“ใน 20 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาประเทศจีนต่อเนื่องไม่หยุด มูลค่าจีดีพีต่อหัวประชากรในจีน ซึ่งเคยอยู่ที่ราว 800 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 1999 ขณะนี้สูงขึ้นที่ราว 9,000 เหรียญสหรัฐ โดยเฉลี่ยในกลุ่มประชากร 1,300 ล้านคน และมันก็กำลังพุ่งสูงขึ้นไปถึง 20,000, -30,000 เหรียญสหรัฐในอนาคต ซึ่งอาจเป็นไปได้อย่างแน่นอน” ไช่ กล่าว
อาลีบาบาได้จัดอีเวนท์ช้อปปิ้งแห่งวันคนโสดประจำปีในวันที่ 11 พ.ย. โดยปีนี้เป็นปีที่ 10 และเป็นอีเวนท์ฮิตระเบิด ร้านค้าต่างออกมาจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้ากระหน่ำแจกแถมกระจาย หลังจากมหากรรมวันช้อปปิ้งนี้เปิดม่านในเที่ยงคืนวันเสาร์(10 พ.ย.) กลุ่มผู้บริโภคแห่ช้อปกระหน่ำ โดยไม่ถึงสองชั่วโมง ยอดซื้อแตะระดับ 1 แสนล้านหยวน คิดเป็นเงินไทยกว่า 5 แสนล้านบาท เทียบกับเมื่อปีก่อนหน้า ในปีที่แล้วกว่าที่ยอดซื้อสินค้าไต่ระดับถึงหนึ่งแสนล้านหยวนนั้นใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมง สำหรับปีนี้ในเวลาเพียง 30 นาที ยอดซื้อสินค้า30 แบรนด์ดังอย่าง Nike, Adidas, Apple และ Xiaomi แตะ 100 ล้านหยวน แบรนด์เครื่องสำอางMAC ทำสถิติขายลิปสติกรุ่นพิเศษ 3,700 แท่งในหนึ่งนาที
กลุ่มสินค้าที่มาแรง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งครองแชมป์ขายดีของกลุ่มสินค้านำเข้า ผลิตภัณฑ์บำรุงดูแลผิว ผ้าอ้อมเด็ก นมผง ถูกจัดอยู่ในอันดับรายการสินค้าขายดีอันดับต้นๆ
สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อสินค้ามากสุด ได้แก่ ผู้บริโภคในนครเซี่ยงไฮ้ ตามด้วยผู้บริโภคในปักกิ่ง หังโจว และกว่างตง
นอกจากนี้กลุ่มบริโภคตามเมืองระดับรองๆลงไป กลายเป็นพลังหนุนการค้าออนไลน์ที่สำคัญไม่น้อยด้วยรายได้ของคนกลุ่มนี้ที่สูงขึ้น
อาลีบาบาริเริ่มอีเวนทช้อปปิ้งวันคนโสด (Singles’ Day) เมื่อปี 2009 ถือเป็น “งานช้าง” ของโลกการซื้อขายออนไลน์ในแดนมังกร ชาวจีนเรียกว่า วัน 11/11 (วันที่ 11 เดือน 11) ซึ่งรูปทรงดูเหมือน “กิ่งไม้ที่ไร้ใบ” จึงนำมาเป็นสัญลักษณ์แทน “คนโสด” ของชาวจีน ปัจจุบันวันคนโสดได้กลายเป็นวันช้อปปิ้งของทุกคน
มหกรรมช้อปปิ้งวันคนโสดครั้งแรกของอาลีบาบา ทำยอดขายที่ 7.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อปี 2017 ทำสถิติยอดขาย 25,300 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นมหกรรมช้อปปิ้งใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าอีเวนท์ที่คล้ายกันของฝั่งตะวันตก อย่าง แบล็ค ฟรายเดย์ (Black Friday) และ ไซเบอร์ มันเดย์ (Cyber Monday) ในสหรัฐอเมริกา
อาลีบาบาได้จัดงานเลี้ยงในวัน 11/11 ที่นครเซี่ยงไฮ้ โดยเชิญกลุ่มเซเลปและจัดการแสดงต่างๆเพื่อสร้าบรรยากาศคึกคักรื่นรมย์ระหว่างมหกรรมช้อปปิ้ง สำหรับปีนี้ นักแสดงดังได้ที่รับเชิญคือ Mariah Carey และเหล่านักแสดงจากคณะการแสดงดัง Cirque du Soleil มาแสดงในงานเลี้ยงกาล่า 4 ชั่วโมง และเผยแพร่ผ่านแพล็ตฟอร์มโยวคู่ (Youku) ของอาลีบาบา แต่การแสดงที่เรียกเสียง กรี๊ด..ดดด และเสียงปรบมือสนั่นเลื่อนลั่นที่สุดคือ การขึ้นเวทีของ Jackson Yee และสมาชิกสุดฮ็อต TFBoys
นอกเหนือจากมหกรรมลดราคาสินค้าแล้ว วันคนโสดอาลีบาบา ยังสำคัญอีกอย่างคือ เป็นสนามทดลองเทคโนโลยีใหม่ที่อาลีบาบากำลังผลักดัน ได้แก่ การค้าปลีกยุคใหม่ (New Retail) บูรณาการการค้าออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งเอไอ และอัลกอลิทึ่ม
นอกจากนี้ ความสำเร็จของมหกรรมช้อปปิ้งวันคนโสด ยังช่วยดันแบรนด์รายอื่น ได้แก่ หมัวกูเจีย (Mogujie/ 蘑菇街) VipShop (vip.con/唯品会)ให้กระโดดขึ้นขบวนรถไฟสายอีคอมเมิร์ชไปด้วย
การใช้จ่ายของผู้บริโภคนับเป็นข่าวดีของกลุ่มนักคาดการณ์เศรษฐกิจที่กำลังวิตกกังวลผลกระทบจากสงครามการค้า
*Millennial คือ กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 35 ปี หรือ เกิดอยู่ในช่วงค.ศ. 1980-2000จัดเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของนักการตลาดหรือแบรนด์ แต่เข้าถึงได้ยากมาก เนื่องจากกลุ่มมิลเลนเนียลนี้เติบโตในยุคออนไลน์และเทคโนโลยี หากใช้สื่อเดิมๆ หรือ กลยุทธ์เดิมๆ ก็คงไม่ได้ผล และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ค่อยมี Brand Loyalty