เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ (18 ต.ค.) คลื่นใต้น้ำแห่งความเกลียดชัง ที่กำลังก่อตัวขึ้นจนเป็นกระแสหลักในยุคทรัมป์ขณะนี้ คือกระแสพุ่งเป้าต่อต้านจีน จนอาจลามปามขยายตัวส่งผลกับชีวิตคนอเมริกันเชื้อสายจีนหลายล้านคน เมื่อความหลากหลายทางเชื้อชาติที่เคยเป็นคุณค่าหลักความฝันเสรีของอเมริกันชนกำลังเปลี่ยนไปมาก
ฉือ หวาง คอลัมนิสต์อาวุโสของเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ วัย 87 ปี ซึ่งเป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีน อดีตหัวหน้าแผนกจีน หอสมุดรัฐสภาสหรัฐอเมริกา อดีตบรรณารักษ์ Chinese University of Hongkong และเป็นประธานมูลนิธินโยบายสหรัฐ-จีน (US - China Policy Foundation) ได้แสดงความคิดเห็นถึงการปลุกความรักชาติแบบอเมริกันในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ว่า น่าจะทำให้คนอเมริกันเชื้อสายจีนจำนวนมากรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ฉือ กล่าวว่า ตนเองเดินทางมาสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปีค.ศ. 1949 สมัยเป็นนักเรียนมัธยม เขาไม่ใช่กลุ่มที่อพยพมาอเมริกาเพื่อตามฝันแบบอเมริกันชนอะไร และไม่ได้เคยคิดจะอยู่ที่อเมริกา แต่สงครามการเมืองในจีน และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ใช่บ้านของเขาแล้ว ตอนนั้นจึงลงหลักปักฐานอยู่ที่อเมริกาและมองว่าที่นี่คือบ้านของตน
แต่หลังจากอยู่อเมริกาได้เกือบ 70 ปี เขารู้สึกว่าอเมริกาวันนี้เปลี่ยนไป ไม่ใช่อเมริกาแบบที่เขาจำได้ อเมริกาตอนนี้ไม่ใช่ประเทศเดียวกับที่เขาเคยได้รับการต้อนรับสมัยหนุ่ม ไม่ใช่ประเทศที่เขาเคยเลือกเป็นบ้าน ภาพของดินแดนแห่งความหลากหลายบูรณาการทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ ที่คนทั่วโลกแสวงหาเสรีภาพต่างมุ่งหน้าตามฝันอเมริกันชน เรือที่เคยเล่นเทียบท่าผู้พยบมองดูอนุสาวรีย์แห่งเสรีภาพอย่างมีความหวัง ทุกวันนี้เหมือนเธอกำลังจะโบกมือห้ามและไล่ผู้อพยพโดยเฉพาะจีนให้กลับไปเสียมากกว่า
ฉือบอกว่าความเป็นอเมริกันเชื้อสายจีนนั้น ไม่เคยทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนอเมริกันอย่างเต็มร้อยเลยสมัยนั้นอาจจะยังถูกทักเรื่องเชื้อชาติเสมอคุณมาจากไหนแล้วจริง ๆ แล้วคุณเป็นคนจีนแบบไหน
ผมอยู่อเมริกามานานเป็นเวลามากกว่าในจีนถึง 5 เท่าแต่ก็ยังไม่เคยมีความรู้สึกว่าได้เป็นคนอเมริกันเต็มตัวจริง ๆ นี่ก็คงเหมือนกับคนจีนเชื้อสายอเมริกันอื่น ๆ ซึ่งครอบครัวพาอพยพมาตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม ฉือกล่าวว่า แม้สมัยนั้นจะมีคนสงสัยในความเป็นอื่นทางเชื้อชาติ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าจะเป็นศัตรูกันเหมือนสมัยนี้ การถามเชื้อชาติ ก็เป็นเพียงแค่ความสงสัยอยากรู้ไม่ใช่จะบอกว่าเราไม่ใช่พวกเขาหรือเขาไม่ใช่พวกเรา
ทุกวันนี้น้ำเสียงของคำถามคำทักและความสงสัยอยากรู้นั้นเปลี่ยนไปในเชิงที่ว่าคงไม่เฉพาะคนจีนก็รับรู้แต่รวมถึงคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียใบหน้าที่ดูเหมือนคนจีนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งถูกเหมารวมว่าอย่างไรก็คงโยงกับประเทศจีนโดยทันที และยังท่าทีนโยบายของผู้นำสหรัฐปัจจุบันยิ่งทำให้เหมือนคนจีนเป็นคนอื่นแม้ยังไม่ใช่ศัตรูก็ตาม
คนอเมริกันเชื้อสายจีนรุ่นใหม่คิดอยากจะก้าวหน้าตำแหน่งหน้าที่การงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็คงจะยากเพราะความระแวงว่ามีนามแฝงของรัฐบาลจีนอยู่ แต่ในทางกลับกันขณะที่คนอเมริกันเดินทางท่องเที่ยวไปประเทศอื่น ๆ คนอเมริกันก็ไม่เคยถูกเหมารวมว่าจะคิดเหมือนรัฐบาลอย่างใด เพราะความที่มาจากดินแดนแห่งเสรี แต่คนจีนไม่ได้ถูกมองด้วยทัศนคติแบบนี้ แย่กว่านั้นอาจจะถูกเหมารวมว่าเป็นคนของรัฐบาลจีนด้วยซ้ำ
ในปี 2017 นักศึกษาจีนกว่า 350,000 คนได้เดินทางมาศึกษาในสหรัฐด้วยการจ่ายค่าเทอมเต็มอัตราของตนเอง ในปี 2016 ชาวจีนได้มาท่องเที่ยวในอเมริกากว่า 3 ล้านคนใช้จ่ายเงินในสหรัฐมากกว่า 33,000 ล้านเหรียญ แต่แม้จะให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากเพียงใด ก็ยังมักถูกมองในแง่ลบเสมอ และนักท่องเที่ยวจีนก็มักถูกจะล้อในพฤติกรรมของพวกเขาที่ดูแปลกกับคนท้องถิ่น ไม่ว่าจะตามที่ท่องเที่ยวหรือในแคมปัส มหาวิทยาลัย ซึ่งเหมือนรังเกียจกันมากกว่าจะมองตามความเป็นจริงว่าเป็นผู้ที่สร้างประโยชน์รายได้ให้ประเทศ
วันนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังใช้วาทกรรมปฏิปักษ์ต่ออเมริกา ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศแย่ขึ้นไปอีก แต่สำหรับคนจีนเท่าที่ทำได้ง่ายกว่าก็คือย้ายมหาวิทยาลัยหรือจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวไปยังประเทศที่ต้อนรับกว่า
ขณะที่คนอเมริกันเชื้อสายจีนคงมีทางเลือกที่จำกัดกว่า จะว่าพวกเขาเป็นจีนก็ไม่เชิง แต่อยากจะเป็นอเมริกันก็ไม่เต็มภาคภูมิ ดูจะแปลกหน้าในยุคสมัยนี้ โดยสำหรับคนอเมริกันเชื้อสายจีนหลายคนถูกมองว่าสหรัฐเป็นแค่แผ่นดินที่พ่อแม่เขาเคยมาอยู่อาศัย จึงไม่แปลกที่คนอเมริกันเชื้อสายจีนจำนวนหนึ่งก็คงคิดเหมือนกับฉือ คือรู้สึกเหมือนคนไร้บ้าน
ฉือ บอกว่าเขามาเรียนในอเมริกาตั้งแต่สงครามกลางเมืองยังไม่จบ ก่อนประเทศจีนจะสถาปนาสาธารณรัฐด้วยซ้ำ และความเปลี่ยนแปลงอันเลวร้ายต่าง ๆ ในจีน ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าจีนคือบ้านของเขาแล้ว เหตุการณ์ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมยุวชนเรดการ์ดได้ฆ่าแม่ของเขาและยึดบ้านของครอบครัว รวมถึงบ้านซึ่งเป็นมรดกของเขาบนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งแม่รอยกให้เขากลับบ้านเกิด แต่ทุกวันนี้ไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงเข้ากับอดีตอีกแล้ว
แม้จะเคยทำงานที่ไต้หวันและฮ่องกงซึ่งถือรู้สึกว่ามีเสรีภาพและหน้าเที่ยวมากกว่าแต่ทั้งไต้หวันและฮ่องกงก็ไม่ใช่บ้านของเขา
ฉือ ยังแสดงความเห็นส่วนตัวซึ่งอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับคนอเมริกันเชื้อสายจีนกว่า 5 ล้านคนในสหรัฐว่า มีความรู้สึกขัดแย้งกับคำว่าชาตินิยมที่ผู้นำสหรัฐพยายามเน้นย้ำ เพราะแม้จะพยายามบอกตัวเองว่าเขาเป็นคนอเมริกันรักชาติคนหนึ่งก็ตาม แต่พอได้ยินวาทกรรมความเกลียดชังและดูถูกของประธานาธิบดีทรัมทีไร ความรู้สึกภูมิใจอย่างเต็มภาคภูมิในความเป็นอเมริกันก็สั่นคลอน ขณะที่เพื่อนชาวอเมริกันก็มักอคติว่ามองคนจีนเดี๋ยวนี้เป็นสายลับของประเทศจีนไปหมดทำเหมือนเขาไม่เคยเป็นคนอเมริกัน
ฉือ หวังว่า บรรยากาศเกลียดชิงชังกันแบบนี้จะหายไป ท่าทีแห่งการอยู่ร่วมกันในความหลากหลายจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง แต่อาจจะไม่เกิดในยุคประธานาธิบดีคนนี้ ผู้ที่ใช้อคติจนกลายเป็นกระแสหลัก แต่แย่กว่านั้นคือ ไม่มีใครคนใดที่ยับยั้ง ท่าทีนี้กันเลย
ฉือ สารภาพว่ายังคงรักประเทศอเมริกาและดีใจที่ชะตาชีวิตพาเขามาอยู่เป็นคนอเมริกันใช้ชีวิตสร้างชีวิตที่นี่แต่ถ้าย้อนกลับไปเป็นเด็กหนุ่มวัย 17 ปีที่มาสหรัฐในวันนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าที่นี่จะเป็นที่ที่เขาเลือกอยู่เป็นบ้านอีกไหม
"ผมไม่ได้เสียใจกับอดีตที่เลือกมา เพียงแต่อยากบอกว่า ด้วยบรรยากาศแบบนี้ความฝันแบบอเมริกันชนนั้นมันอาจจะไม่มีทางเป็นจริงสำหรับคนจีนอพยพอีกแล้ว" ฉือ หวาง กล่าว