xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights: สงครามการค้าระหว่างจีนและอเมริกา...จะเกิดหรือไม่เกิด?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพแสดงการปะทะศึกการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา สินค้าที่เด้งออกมาจากการปะทะศึกฯนี้แสดงให้เห็นถึงสหรัฐฯเลือกขึ้นภาษีสินค้าประเภทเหล็กและสินค้าเทคโนโลยี ส่วนจีนเลือกขึ้นภาษีการค้าโดยเริ่มจากสินค้าเกษตรตามรูปที่แสดง คือถั่วเหลือง
โดย ดร.ร่มฉัตร จันทรานุกุล

หลังจากที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจที่ทำเนียบขาวในวันที่ 22 มีนาคมเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายมาตรา 301 ว่าด้วยการปกป้องการค้าระหว่างประเทศของอเมริกาและประเทศคู่ค้าอื่นๆ โดยวิธีการที่จะใช้ คือเพิ่มกำแพงภาษีหรือคว่ำบาตรหรือวิธีการอื่นใดเพื่อปกป้องสินค้าและบริการภายในประเทศของตนเอง ในครั้งนี้ประเทศเป้าหมายของอเมริกาคือจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของอเมริกา และเป็นประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

สหรัฐอเมริกาจะตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนมูลค่ากว่า 60,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยทางการสหรัฐฯกล่าวว่าหลังจากประธานาธิบดีลงนามฯแล้ว จะมีประกาศประเภทสินค้า และมีผลบังคับใช้ภายใน 15 วันหลังจากนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนแต่ยังโยงไปถึงการจำกัดเงื่อนไขการครอบกิจการ (take over) ของบริษัทจีนในสหรัฐฯด้วย หลังจากข่าวแพร่กระจายไป ทั่วโลกต่างจับตามอง

และแน่นอนที่สำคัญ จีนก็มีปฎิกิริยาตอบกลับข่าวดังกล่าวในทันที โดยทางการจีนงัดมาตราการตอบโต้สหรัฐฯคือเพิ่มกำแพงภาษีสินค้าเกษตรโดยจำนวนเริ่มต้นคือ 3,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ จีนได้ประกาศทัศนคติต่อการเพิ่มภาษีสินค้าจากจีนต่ออเมริกาไว้อย่างน่าสนใจคือ “我不怕你打” ความหมายตรงๆว่า “เราไม่กลัวที่จะสู้กับคุณ”

ในที่นี้ผู้เขียนขอกล่าวถึงสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯในมุมมองของจีน สำนักข่าวต่างๆในประเทศของจีนรายงานข่าวเรื่องนี้อย่างถี่ และมีการวิเคราะห์แง่มุมต่างๆเพราะหากว่าสงครามการค้าเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่จีนและสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบแต่จะขยายไปสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั่วโลกเป็นโดมิโน หลังจากมีข่าวการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นเงินจำนวนมหาศาลนี้ ทางการจีนได้ประกาศออกมาอย่างเนืองๆว่า ไม่อยากให้เกิดสงครามการค้า อยากให้ทางอเมริกาคิดใหม่ เพราะหากมีสงครามการค้าเกิดขึ้นจริงทั้งสองฝ่ายมีแต่จะเสีย ไม่มีผลดีกับใคร ในขณะที่จีนแสดงท่าทีอยากประนีประนอมนั้น ในอีกมุมหนึ่งก็ประกาศที่จะขึ้นภาษีสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯเพื่อเป็นการตอบโต้และแสดงท่าทีความเป็นประเทศใหญ่ของจีน

จากการรายงานของทางจีนและท่าทีต่างๆที่จีนมีต่อสหรัฐฯ ผู้เขียนเห็นว่า“ในความไม่กลัวที่แสดงออกมาภายนอกก็มีความกลัวอยู่ลึกๆ” ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเรื่องภายในประเทศจีนเองที่ต้องแก้ไข การปฏิรูปด้านต่างๆและการเติบโตของเศรษฐกิจตามเป้าหมาย ยังต้องยืนหยัดต่อไปเพื่อบรรลุเป้าหมายในแต่ละปี ในช่วงปีหลังๆนี้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนช้าลงอยู่ที่ปีละประมาณ 6-7 เปอร์เซนต์ ทางรัฐบาลยังคงประคองและประกาศการเติบโตแบบเศรษฐกิจแบบ “稳中求进” หมายถึง “ก้าวหน้าอย่างช้าแต่ต่อเนื่อง” ดังนั้นในทัศนคติของฝ่ายจีนในเรื่องสงครามการค้ากับสหรัฐฯนั้นคือยืนหยัดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่หากอีกฝ่ายยังคงยืนไม่อ่อนข้อทางเราก็พร้อมต่อสู้เช่นกัน

ทีนี้เรามาดูการเพิ่มภาษีของสินค้าระหว่างสองประเทศนี้กันบ้างว่าจะเป็นสินค้าประเภทอะไรบ้าง ฝั่งสหรัฐจะเป็นสินค้าประเภทเทคโนโลยีและเหล็ก เช่น เครื่องจักรต่างๆ หุ่นยนต์เพื่อการพานิชย์ รถยนต์พลังงานใหม่ ชิ้นส่วนรถไฟฟ้าความเร็วสูง เทคโนโลยีสารสนเทศรุ่นใหม่ ยาชีวภาพ เป็นต้น ฝั่งจีนเลือกที่จะขึ้นภาษีในกลุ่มสินค้าปเกษตรเป็นหลักเช่น ผลไม้ เนื้อสัตว์ ถั่วประเภทต่างๆเป็นต้น หลายท่านอาจจะอยากทราบว่าทำไมสหรัฐฯถึงเลือกที่จะขึ้นภาษีสินค้าประเภทเทคโนโลยีจากจีน และทำไมจีนเลือกที่จะลงมือเอาคืนอเมริกาโดยขึ้นภาษีสินค้าเกษตร
ภาพแสดงประเภทสินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเนื่องจากศึกการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา โดยจีนเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อาทิ เนื้อหมู ผลไม้สดๆชนิดต่างๆ ขณะที่ทางสหรัฐฯนั้น ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เช่น อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์สมรรถนะสูง ยาเวชภัณฑ์ชีวภาพ ชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องจักรการกษตร เทคโนโลยีสารสนเทศ รถยนต์พลังงานใหม่ ผลิตภัณฑ์อากาศยาน ชิ้ส่วนรถไฟความเร็วสูง   ที่มา เอเจนซี่
นักวิชาการจีนวิเคราะห์เอาไว้ว่า การที่สหรัฐฯตัดสินใจเพิ่มกำแพงภาษีสินค้าประเภทเทคโนโลยีจากจีนเนื่องจากความสามารถของการแข่งขันสินค้าอุตสาหกรรมของสหรัฐฯลดน้อยลงในเวทีโลก จากปี 2010 สินค้าอุตสาหกรรมในตลาดโลกของสหรัฐฯอยู่ที่ 16.4 เปอร์เซ็นต์จนถึงปี 2016 ลดลงเหลือ 8.2 เปอร์เซ็นต์ จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของจีนทำให้สหรัฐฯเกิดความกังวล กอปรกับหลายปีหลังๆมานี้ความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด การปฎิวัติโครงสร้างอุตสาหกรรมของจีน ทำให้โครงสร้างสินค้าจีนที่ส่งออกจากระดับล่างและกลางเปลี่ยนไปเป็นสินค้าที่มีมูลค่าและมีเทคโนโลยีมากขึ้น

ด้านปัจจัยภายในของสหรัฐฯที่มีอัตราการออมทรัพย์ต่ำทำให้การกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศเพื่อกระตุ้นจีดีพีทำได้ยากกว่าจีน ทั้งนี้ส่งผลถึงการเติบโตของเศรษฐกิจของสหรัฐฯด้วยเช่นกัน

กลุ่มนักวิชาการจีนวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ที่สหรัฐตัดสินใจเช่นนี้เป็นเพราะกลัวแผน “Made in China 2025” ของจีน แนวคิดนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2015 โดยรัฐบาลจีนเห็นว่าประเทศจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้นต้องพัฒนาอุตสาหกรรมประเภทเทคโนโลยีชั้นกลาง-สูง นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน คุณภาพเป็นอันดับหนึ่ง พลังงานสะอาด เพิ่มขีดความสามารถของคนและยึดมั่นในแนวทางที่รัฐบาลตั้งไว้ในระยะยาว โดยปฏิบัติอยู่บนพื้นฐาน 3 ก้าว(三步走)กล่าวคือ ก้าวแรก บรรลุปี 2025 เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่แข็งแรง ก้าวที่สองปี 2035 บรรลุการเข้าสู่ประเทศอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งระดับโลกในระดับกลางขึ้นไป ก้าวที่สาม เมื่อจีนครบรอบการก่อตั้งประเทศ 100 ปีต้องเข้าสู่ประเทศที่เจริญแล้ว การแข็งขันโดยรวมมีโครงการที่แข็งแกร่ง เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าในระดับโลก

ทีนี้มาดูฝั่งจีนกันบ้างว่าทำไมถึงเลือกสินค้าเกษตรในการโจมตีกลับ เพราะการค้าสินค้าเกษตรระหว่างจีนและสหรัฐฯมีมาตั้งแต่เริ่มต้นทำการค้ากัน อีกทั้งจีนเป็นตลาดสำคัญ เป็นลูกค้ารายใหญ่ของสินค้าเกษตรสหรัฐฯ จากสถิติของทางการจีนรายงานสถานการณ์การนำเข้าสินค้าเกษตรของสหรัฐฯว่าตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมาการเติบโตการค้าสินค้าเกษตรระหว่างสองประเทศเติบโตที่ 15 เปอร์เซ็นต์ และฝั่งสหรัฐเป็นฝ่ายที่ได้ดุลการค้ามาตลอด อัตราการเติบโตในแต่ละปีอยู่ที่ 17 เปอร์เซ็นต์ จนถึงปี 2016 จีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรอันดับสองของสหรัฐฯ อีกทั้งเมื่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดีนั้นได้รับเสียงคะแนนอย่างถล่มทลายจากรัฐที่มีอุตสาหกรรมเกษตรเป็นหลัก ดังนั้นการที่จีนตัดสินใจที่จะเลือกตอบโต้ด้วยสินค้าเกษตรเสมือนว่าแทงจุดอ่อนของทรัมป์
ผู้นำสองประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (ซ้าย) และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง  เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ ที่มา เอเจนซี่
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้นต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ทางจีนพยายามประนีประนอมกับสหรัฐฯว่าอย่าทำให้เกิดการปะทะขึ้นเลย เพราะไม่ใช่แค่สองฝ่ายจะเสียหายแต่จะส่งผลกระทบเป็นห่วงโซ่ไปสู่ทั่วโลก เพราะทั้งสหรัฐฯและจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งและสองของโลกตามลำดับ และการที่จีนประกาศขึ้นภาษีเป็นมูลค่าน้อยกว่าทางสหรัฐฯก็เป็นข้อบ่งชี้ทัศนคติของจีนที่ไม่อยากจะให้ทำเนียบขาวฟันธงกับการทำสงครามการค้า 

ข่าวภายในประเทศจีนก็ประโคมข่าวกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยจากทั่วโลกต่อกรณีที่สหรัฐฯตัดสินใจจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ซึ่งจะทำให้เกิดสงครามการค้า หลังจากการประกาศนโยบายตอบโต้ของจีนได้ไม่นาน ทิม คุก ผู้บริหารบริษัทแอปเปิ้ลและคณะเดินทางมาจีน พบปะกับ นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อ เฉียง มีการพูดคุยและแสดงท่าทีในการโน้มน้าวประธานาธิบดีสหรัฐฯให้กลับลำ ผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้อาจจะต้องลุ้นกันต่อว่าผลจะเป็นเช่นไร แต่ท่าทีของทางจีนแน่นอนว่าไม่อยากให้มีสงครามการค้าเกิดขึ้นค่ะ




กำลังโหลดความคิดเห็น