โดย ดร.ร่มฉัตร จันทรานุกุล
ก่อนอื่นขอสวัสดีปีใหม่จีนกับผู้อ่านทุกท่านค่ะ 新年快乐!
“หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” แปลมาจากภาษาจีนตรงๆว่า “一带一路” คือแนวคิดที่รัฐบาลยุคสี จิ้นผิง หยิบยกขึ้นมาเพื่อแสวงหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมระหว่างจีนและแถบประเทศในเส้นทางสายไหมโบราณทั้งทางบกและทางทะเล ในปัจจุบันก็คือประเทศรอบข้าง ทางบกยาวไปจนถึงยุโรป ทางทะเลก็จะคลอบคลุมไปถึงประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไทยก็รวมอยู่ในหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางนี้ด้วย
แนวคิดของผู้นำประเทศจีนคือฟื้นฟูเส้นทางสายไหมขึ้นมาและแสวงหาการร่วมมือด้านต่างๆตามยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไป แนวคิดการร่วมมือระหว่างประเทศของเส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเลใหม่นี้ไม่ได้จำกัดแค่ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวทั้งรวมไปถึงการร่วมลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน รางรถไฟเชื่อมต่อและเชื่อมโยงจีนถึงประเทศในแถบเส้นทางสายไหมเข้าด้วยกัน แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าการร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าคือหัวใจหลัก หากผู้อ่านได้ติดตามข่าวจะเห็นว่า ประเทศจีนเน้นการร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่โดยรอบ ทั้งนี้เพื่อสานความสัมพันธ์มิตรไมตรีระหว่างกัน รัฐบาลจีนมีเงินมหาศาลพร้อมที่จะควักลงทุน ให้เงินสนับสนุนกับประเทศที่เข้าร่วมโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ความหวังที่รัฐบาลจีนอยากจะได้รับ คือการร่วมมือ การยอมรับสร้างอิทธิพลในเวทีโลก
ผู้เขียนคิดว่ารัฐบาลจีน หน่วยงานรัฐและเอกชนค่อนข้างกระตือรือร้นกับนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง แนวคิดดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในปี 2013 และเริ่มที่จะมียุทธศาสตร์จริงจังในปี 2014 โดยรัฐบาลจีนได้จัดตั้งกองทุนเส้นทางสายไหมขึ้นด้วยเงินเริ่มแรก 4 หมื่นล้านดอลล่าร์ เงินกองทุนนี้เปิดกว้างให้ประเทศที่สนับสนุนโครงการฯ สามารถสมัครและขออนุมัติใช้เงินในโครงการได้ เงินในโครงการนี้จะเน้นสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน การร่วมมือทางทรัพยากรมนุษย์ และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
ผู้เขียนเองอยู่ในหน่วยงานการศึกษาจีนก็ทราบว่าในสองปีมานี้มีเงินสนับสนุนให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาต่างชาติในประเทศแถบหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางอย่างมากมาย ประเทศจีนต้องการที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมและภาษา สนับสนุนให้คนต่างชาติเข้าใจจีนในด้านต่างๆมากยิ่งขึ้น
อีกเป้าหมายหนึ่งของรัฐบาลจีนภายใต้นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางคือ การเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน (互联互通) กล่าวคือการสร้างถนนหนทางและทางรถไฟเชื่อมต่อกันเพื่อการพัฒนาระยะยาว จีนให้เหตุผลว่าการที่แต่ละประเทศมีเครือข่ายการคมนาคมเชื่อมโยงกันจะทำให้การค้า การเดินทางของประชาชนระหว่างประเทศสะดวกยิ่งขึ้น
ในปี 2020 หรืออีกสองปีข้างหน้าทางการจีนมีเป้าหมายว่าจะลดต้นทุนการค้าระหว่างประเทศในหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางลง 25% และให้การค้าในแถบเส้นทางสายไหมนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางจะเป็นตัวนำในการสร้างการค้าขนาดใหญ่ของโลก รองจากเขตมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางนี้ครอบคุลมประชากร 60% ของโลก และในแถบนี้มีขนาด GDP มากเป็น 1/3 ของทั้งโลก
ทีนี้เรากลับมาดูประเทศไทยกันบ้าง ไทยเราอยู่ในเขตของหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางทางทะเล ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทยค่อนข้างราบรื่นมาโดยตลอด อย่างที่ผู้เขียนเคยกล่าวไปบทความก่อนหน้าว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวเมืองไทยมากที่สุด ในกรอบของนโยบายการร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางกับไทย จีนค่อนข้างโฟกัสกับเมกะโปรเจ็ท รถไฟฟ้ารางคู่ของไทย ซึ่งมีการวางแผนกันมานานพอสมควร และที่ผ่านมายังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน จนถึงเมื่อปีที่แล้วไทยและจีนได้ลงนามร่วมกันอย่างเป็นทางการ
ในเรื่องข่าวเกี่ยวกับความร่วมมือสร้างรถไฟฟ้าทางคู่กับไทยค่อนข้างดังที่ประเทศจีน สื่อและรัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับโครงการนี้เพราะจะทำให้จีนสามารถเชื่อมโยงลงไปทางใต้จนถึงสุดสิงคโปร์ได้ จีนเห็นว่าโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมต่อจะเป็นประโยชน์ต่อจีนและประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก จะสร้างความเจริญมาสู่ประเทศในแถบอาเซียน (ASEAN) ช่วยประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน อีกอย่างคือจีนสามารถที่จะไปมาหาสู่กับประเทศในแถบอาเซียน ได้ง่ายและใกล้ชิดยิ่งขึ้น โครงการสร้างรถไฟทางคู่ระหว่างไทย-จีนก็เป็นโครงการหนึ่งที่ไทยจะได้รับประโยชน์จากนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
ทางการจีนเน้นย้ำเสมอว่า 互利共赢 หมายความว่าได้รับประโยชน์ซึ่งกันและกัน และไปสู่ชัยชนะร่วมกัน จีนเน้นย้ำว่าการออกไปของจีนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวการเมืองหรือคิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเองฝ่ายเดียว แต่คือการคิดถึงผลประโยชน์ร่วมกัน โอกาสของไทยเรานั้นมีหลายด้านทั้งเรื่องของการคมนาคมโครงสร้างพื้นฐานดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
นอกไปจากนี้ โอกาสของเด็กไทยที่จะได้เข้าถึงทุนการศึกษาของรัฐบาลจีนมากขึ้น โดยเป็นทุนให้เปล่า ความร่วมมือทางวัฒนธรรม การเผยแพร่และการแลกเปลี่ยน หน่วยงานรัฐของไทยสามารถที่จะขอความร่วมมือไปยังรัฐบาลจีนได้ในด้านที่เกี่ยวกับการร่วมกันพัฒนาในประเทศแถบเส้นทางสายไหม
ผู้เขียนคิดว่าทางจีนจะมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมากหากเราให้ความสำคัญกับนโยบายนี้ เพราะเขาก็กำลังผลักดันกันอยู่ในเวทีโลก ไทยกำลังจะสร้างตัวเองเป็นศูนย์กลางอาเซียน (Hub of ASEAN) หลายด้าน ดังนั้นผู้เขียนมีความเห็นว่าการที่เราจะเอาแนวคิดและนโยบายของประเทศเราไปควบรวมกับนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางได้คงจะดีไม่น้อย และอาจจะมีโอกาสหลายๆอย่างรออยู่ อย่างไรก็ตามการร่วมมือต่างๆต้องคิดให้รอบคอบและอยู่ภายใต้หลักการ มีจุดยืนที่แน่ชัดและอยู่ในขอบเขตที่ทางเรายอมรับได้ เพื่อบรรลุการไปถึงชัยชนะด้วยกันอย่างแท้จริงค่ะ