วันศุกร์ (17 พ.ย.) ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้มอบหมายให้นาย ซ่ง เทา (Song Tao) อดีตรองรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นทูตพิเศษนำคณะผู้แทนจีนเดินทางไปเยือนเปียงยาง เพื่อแจ้งทราบผลการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จัดขึ้นเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา
ซ่ง เป็นทูตจีนคนแรกที่เดินทางเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือน ต.ค. ปีที่แล้ว โดยหนนั้นเป็น หลิว เจิ้นหมิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เดินทางเยือนเปียงยาง ส่วนประธานาธิบดีสี นั้นยังไม่เคยพบปะกับ คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือแต่อย่างใด
รายงานระบุว่า วันเสาร์ (18 พ.ย.) นายซ่ง พร้อมคณะผู้แทนจีนจำนวน 10 คน ได้เข้าพบหารือกับ โช รยอง แฮ (Choe Ryong Hae) ผู้บริหารระดับสูงของพรรคแรงงานแห่งเกาหลีเหนือ เพื่อแจ้งผลผลการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 พร้อมทั้งหยิบยกประเด็นด้านความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งสอง และแนวทางในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นหารือ
อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฎว่า ประเด็นโครงการนิวเคลียร์/ขีปนาวุธของเกาหลีเหนือได้ถูกหยิบยกขึ้นพูดคุยกันบนโต๊ะหารือหรือไม่
“เกิง ซวง” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เลี่ยงตอบคำถามดังกล่าวของนักข่าวระหว่างการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของกระทรวงการต่างประเทศจีน โดยระบุว่า เป็นประเพณีปฎิบัติของจีน ในการส่งทูตไปยังประเทศสังคมนิยมอื่นๆ (ปัจจุบันนีมีเพียง 5 ประเทศ ได้แก่ จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม คิวบา และลาว) หลังเสร็จสิ้นการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยนายซ่งได้เสร็จสิ้นภารกิจในการเดินทางไปยังเวียดนาม และลาวแล้วก่อนหน้านี้
หลังม่านแห่งการเยือน
การเยือนเกาหลีเหนือของทูตพิเศษจีน เกิดขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เดินสายระดมพันธมิตรต่อต้านเปียงยาง ใน 5 ประเทศในเอเชีย ซึ่งรวมถึงการเดินทางมาเยือนปักกิ่ง เพื่อหารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง โดยทรัมป์เรียกร้องให้จีนใช้อิทธิพลควบคุมพฤติกรรมของเกาหลีเหนือให้มากกว่านี้ พร้อมเตือนว่า “เวลาเหลือน้อยลงทุกที”
การส่งทูตพิเศษไปเกาหลีเหนือหลังการเยือนของทรัมป์ฯ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า เหตุผลที่แท้จริงของการเยือนเกาหลีเหนือในครั้งนี้ คือการพูดคุยเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของคิมนั่นเอง
สหรัฐฯ เป็นกังวลต่อภัยคุกคามจากโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือมาโดยตลอด เนื่องจาก หากเกาหลีเหนือพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) เสร็จสมบูรณ์ ก็จะเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ แม้อยู่ห่างจากเกาหลีเหนือถึง 9,000 กิโลเมตรก็ตาม
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ จึงเดินหน้ากดดันเกาหลีเหนือในทุกรูปแบบ รวมถึงกดดันจีน ในฐานะพี่เลี้ยงมหามิตรของโสมแดงให้เข้าจัดการปัญหาดังกล่าว โดยทรัมป์ได้ขอให้สี “ทำงานอย่างหนัก” เพื่อแก้ไขประเด็นเกาหลีเหนือ ซึ่งทรัมป์อ้างว่าผู้นำมังกรได้ตกปากรับคำว่า จะเพิ่มมาตรการกดดันเกาหลีเหนือในอนาคต
ทางด้านโฆษกฯ เกิงยืนยันว่า จีนมีพันธกรณีในการคลี่คลายประเด็นเกาหลีเหนืออย่างสันติ ผ่านช่องทางการหารือระหว่างกัน
ในวันพฤหัสบดี (16 พ.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกย่องการตัดสินใจของจีน ที่ส่งทูตพิเศษมุ่งหน้าสู่พันธมิตรของปักกิ่งอย่างเกาหลีเหนือ ไม่กี่วันหลังจากเขากดดัดพญามังกรให้ยกระดับความพยายามยับยั้งภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
มังกร-โสมแดง สหายร่วมต้านสหรัฐฯ
จีนสนับสนุนเกาหลีเหนือมาเป็นประเพณี เนื่องจากกลัวว่าผู้อพยพจากโสมแดงจะทะลักท่วมชายแดน และสหรัฐฯจะเข้ามาขยายอิทธิพลในอาณาบริเวณ หรือกระทั่งอาจเกิดการรวมชาติเกาหลีโดยมีกองกำลังอเมริกันประจำการจ่อคอหอยตน ดังนี้ จีนจึงต้องการเกาหลีเหนือในฐานะเขตกันชน ที่ช่วยสกัดกั้นกองกำลังสหรัฐฯไปพ้นจากชายแดนจีน และรักษาอิทธิพลจีนในอาณาบริเวณ ด้วยการสมดุลอำนาจในคาบสมุทรเกาหลี
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ จีนจึงเป็นพันธมิตรหนึ่งเดียวในโลกของเกาหลีเหนือ ที่ช่วยค้ำจุนช่วยเหลือ ตลอดจนคอยปกป้องใช้สิทธิเสียงวีโต้ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งประชาชาติ (ยูเอ็น) ล้มมาตรการคว่ำบาตรโสมแดง เมื่อนานาชาตินำโดยสหรัฐฯต้องการโต้ตอบการทดลองอาวุธพลานุภาพทำลายล้างสูงของจอมยั่วยุแห่งย่านเอเชียตะวันออกนี้ โดยให้เหตุผลว่าการคว่ำบาตรฯ จะยิ่งทำให้สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีไร้เสถียรภาพ
ปักกิ่งเข้าช่วยเหลือเปียงยางตั้งแต่ช่วงสงครามเกาหลี ปี 1950-1953 ด้วยการต่อต้านกองกำลังพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติ ที่มีสหรัฐฯ เป็นหัวเรือใหญ่เข้ามาคุ้มครองเกาหลีใต้ นับจากนั้นเป็นต้นมา จีนก็เปรียบเสมือนพี่ใหญ่คอยดูแลคุมเชิงให้เกาหลีเหนือตลอดมา
ปักกิ่งยังเป็นผู้สนับสนุนด้านความช่วยเหลือและการค้ารายสำคัญของประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ โดยจีนเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับหนึ่งของเกาหลีเหนือ ด้วยมูลค่าการค้าคิดเป็นจำนวนกว่าร้อยละ 90 ของเกาหลีเหนือ
เมื่อมิตรแท้แปรผันเปลี่ยน
อย่างไรก็ดี แรงกดดันจากนานาชาติทำให้จีนซึ่งเป็นมหามิตรของระบอบคิม ต้องยอมสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรขององค์การสหประชาชาติในที่สุด และเริ่มจำกัดการทำธุรกรรมกับชาวเกาหลีเหนือ ส่งผลให้สายสัมพันธ์ที่มีมายาวนานตั้งแต่ยุคสงครามเย็นเริ่มสั่นคลอน
เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา จีนประกาศไม่ยอมรับถ่านหิน ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของเกาหลีเหนือ หลังจากที่องค์การสหประชาชาติบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ต่อเกาหลีเหนือ ในฐานะส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะยับยั้งเปียงยางจากการพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์หลังจากการทดสอบนิวเคลียร์
ต่อมาในเดือน ส.ค. กระทรวงพาณิชย์จีนยังสั่งห้ามไม่ให้ชาวเกาหลีเหนือจัดตั้งธุรกิจใหม่ในประเทศจีนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทร่วมทุนกับหุ้นส่วนชาวจีนหรือร่วมทุนกับต่างประเทศก็ตาม
กระทรวงพาณิชย์จีนยังได้เริ่มจำกัดการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมไปยังเกาหลีเหนือตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าจีนพร้อมที่จะปฏิบัติตามมติคว่ำบาตรล่าสุดของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติซึ่งได้มีมติเอกฉันท์รับรองมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ เพื่อตอบโต้การทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 6
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยัง “มีมาตรการแบนสิ่งทอนำเข้าจากเกาหลีเหนืออย่างครอบคลุม” โดยเป็นไปตามมติของยูเอ็น ซึ่งห้ามโสมแดงส่งออกสิ่งทอไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้รายได้เปียงยางลดลงอย่างมาก โดยนักวิเคราะห์จาก IHS Markit หน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลภาคธุรกิจอุตสาหกรรมชื่อดังของอังกฤษประเมินว่า โสมแดงทำรายได้จากการส่งออกส่งทอประมาณ 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ท่าทีของโสมแดง
เกาหลีเหนือได้แสดงท่าทีไม่พอใจต่อจีน โดยระบุว่า ผู้สนับสนุนหลักทางการทูตของพวกเขาแห่งนี้กำลังเต้นตามจังหวะของสหรัฐฯ ซึ่งสำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) ตำหนิและกล่าวหาอย่างชัดแจ้งว่า “ประเทศเพื่อนบ้านแห่งหนึ่ง” กำลังหันไปยืนเคียงข้างศัตรูของเกาหลีเหนือ เพื่อโค่นล้มระบบสังคมของพวกเขา
บทวิจารณ์ของเคซีเอ็นเอระบุว่า เกาหลีเหนือจะไม่ร้องขอให้จีนรักษาความเป็นมิตร หากมันไม่เป็นผลดีต่อโครงการนิวเคลียร์ที่มีค่าเท่ากับชีวิตของตนเอง พร้อมเสริมว่า เปียงยางทำหน้าที่เป็นเขตกันชนระหว่างปักกิ่งและวอชิงตันนับตั้งแต่สงครามเกาหลีในช่วงทศวรรษ 1950 โดยมีส่วนช่วยปกป้องสันติภาพและความมั่นคงของจีน และจีนควร ขอบคุณดีพีอาร์เคสำหรับเรื่องนี้
ปักกิ่งไม่ควรลองทดสอบขีดจำกัดความอดทนของเกาหลีเหนือ บทวิจารณ์ระบุ และเตือนว่า จีนควรครุ่นคิดให้มากกว่านี้ เกี่ยวกับผลลัพธ์ร้ายแรงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการตัดแกนความสัมพันธ์ดีพีอาร์เค-จีน
พรรคคอมมิวนิสต์จีน กุญแจทองคลี่คลายปัญหา?
สี จิ้นผิง ผู้นำมังกรแย้มระหว่างการแถลงการณ์ร่วมกับประธานาธิบดีทรัมป์ ระหว่างการทัวร์เอเชียของทรัมป์ว่า ทูตปักกิ่งยังคงมีความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือหลังม่าน โดยจีนยืนยันที่จะปฏิบัติตามข้อมติขององค์การสหประชาชาติ และเดินหน้าคลี่คลายสถานการณ์ผ่านการหารือเจรจาร่วมกัน
การเยือนเกาหลีเหนือของนายซ่งในครั้งนี้ เป็นการเยือนในฐานะ “ตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์” จีน เพื่อเข้าพบตัวแทนพรรคแรงงานแห่งเกาหลีเหนือ อันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพรรคฯ ต่อพรรคฯ มากกว่าเป็นการทูตระหว่างประเทศต่อประเทศทั่วไป ซึ่งอาจได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจกว่าในอดีต
จีนอาจใช้อุดมการณ์สังคมนิยมและประวัติศาสตร์ที่มีร่วมกันมาอย่างยาวนาน ในการชักจูงให้เกาหลีเหนือยอมกลับเข้าสู่โต๊ะการเจรจาได้ ซึ่งการทูตระหว่างพรรคฯ ทั้งสอง นอกจากจะช่วย “รักษาหน้า” ให้เกาหลีเหนือแล้ว ยังสามารถตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ ด้วยอุดมการณ์สังคมนิยมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบบจีน ดังที่ผู้นำมังกรให้คำมั่นว่า เขาจะทำงานร่วมกับสมาชิกโลกเพื่อนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน ปกป้องความสงบสุข และความมั่นคงระหว่างประเทศ