เมียนม่าร์ ไทม์ส - ผู้เชี่ยวชาญฯ กล่าวว่า เพื่อให้บรรลุแนวคิดริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งทาง จีนควรมุ่งไปสู่ความร่วมมือแบบพหุภาคีและครบวงจร
เมียนมาร์ ไทม์ส รายงาน (31 ต.ค.) ความเห็น ศาสตราจารย์ หลี่ หมินเจียง จาก S. Rajaratnam School of International Studies ว่าการทำงานแบบคู่ค้าระหว่างประเทศจะทำให้โครงการหนึ่งแถบ หนึ่งทาง หรือ บีอาร์ไอ Belt and Road Initiative (BRI) มีความน่าสนใจ และได้รับการสนับสนุนมากขึ้น
ศาสตราจารย์หลี่ สังเกตเห็นว่าความคืบหน้าของ "บีอาร์ไอ" ยังเป็นเพียงโครงการทวิภาคี ซึ่งในความจริงโครงการทวิภาคีสามารถดำเนินการได้ระหว่างสองประเทศโดยไม่ต้องมีกรอบบีอาร์ไอ
สมาชิกอาเซียนมีระดับความไว้วางใจที่แตกต่างกันไปกับประเทศจีน และส่งผลกับความร่วมมือในโครงการบีอาร์ไอ อาทิ ลาวและกัมพูชา กับสิงคโปร์ สนับสนุนบีอาร์ไออย่างเต็มที่ ในขณะที่เวียดนามและพม่ายังมีความคลางแคลงอยู่มาก ส่วนไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไน และมาเลเซีย อยู่ในกลุ่มมีความไว้วางใจระดับปานกลาง แต่เต็มใจร่วมมือกับบีอาร์ไอ
ศาสตราจารย์ กุก เฉิง-ชวี จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติมลายา National University of Malaya เห็นด้วยว่า บีอาร์ไอจะยังคงดำเนินต่อไปด้วยความร่วมมือของสมาชิกภูมิภาคอาเซียน ซึ่งล้วนมีส่วนร่วมในโครงการของตนเอง และบีอาร์ไอ จะยังคงมุ่งเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานและโครงการเชื่อมต่อในอนาคตอันใกล้
ศาสตราจารย์ กุก กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศจีนสามารถมีส่วนร่วมในระดับพหุภาคีอาเซียน เจรจาต่อรองเชิงกลยุทธ์หลายด้านภายใต้กรอบบีอาร์ไอ ด้านการลงทุน กับโครงสร้างพื้นฐานฯ
เวลานี้ ประเทศในอาเซียนเห็นภาพของโครงการหนึ่งแถบ หนึ่งทางชัดและเข้าใจมากขึ้น และต้องการได้รับประโยชน์จากโครงการนี้
สำหรับกัมพูชากับจีนนั้น ดร. ชุนโบรัน ชันโบเร (Chunboran Chanborey)จาก Australian National University กล่าวว่า กัมพูชาได้เปลี่ยนนโยบายและเสริมสร้างความแน่นแฟ้นกับจีนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2540 แล้ว
ขณะที่ ไทย และเวียดนาม เป็นฝ่ายที่ผลักให้กัมพูชา ออกไปสัมพันธ์ในอ้อมกอดจีน ซึ่งก็คงจะมีผลกับจุดยืนของพนมเปญเกี่ยวกับกรณีพิพาทน่านน้ำทะเลจีนใต้