เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลจีนและเกาหลีใต้ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ทั้งสองชาติจะ “ฟื้นฟูความสัมพันธ์กลับสู่ภาวะปกติ” ในเร็ววัน
“ทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่า การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างเกาหลีและจีนย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย และควรส่งเสริมให้การแลกเปลี่ยนความร่วมมือกลับสู่เส้นทางพัฒนาตามปกติ” กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้แถลง
ทำเนียบน้ำเงินแดนโสมขาวเผยว่า ประธานาธิบดี มุน แจอิน มีกำหนดพบปะนอกรอบกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เวียดนามระหว่างวันที่ 10-11 พ.ย. ซึ่งคาดกันว่า ผู้นำทั้งสองจะใช้โอกาสนี้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ รวมถึงแนวทางยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี
นอกจากนี้ Noh Young-min เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำแดนมังกรยังเผยว่า ประธานาธิบดี มุน อาจจะเดินทางไปปักกิ่งในเดือน ธ.ค. ที่กำลังจะถึงนี้ ซึ่งเขาหวังว่าประมุขแดนมังกรจะเดินทางไปร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 23 ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองพย็องชัง ประเทศเกาหลีใต้ ในเดือน ก.พ. ปีหน้าเช่นกัน โดยเขาเชื่อว่า การเยือนของประธานาธิบดีสี จะช่วยทำให้บรรยากาศภายในคาบสมุทรเกาหลีเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
แถลงการณ์เกี่ยวก้อยคืนดีของสองชาติเกิดขึ้นก่อนที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเดินสายเยือน 5 ประเทศในเอเชีย เพียงแค่ไม่กี่วัน
ผู้นำสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน ก่อนจะเดินทางไปร่วมการประชุมซัมมิตที่เวียดนามและฟิลิปปินส์ โดยคาดกันว่า สถานการณ์นิวเคลียร์เกาหลีเหนือเป็นประเด็นหลักในการเยือนเอเชียของทรัมป์ในครั้งนี้
ภูมิหลังแห่งความขัดแย้ง
เมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน วอชิงตันและโซล บรรลุข้อตกลงที่จะติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธชั้นบรรยากาศชั้นสูง (THAAD)ในเกาหลีใต้ ตามแผนการเพื่อป้องกันตัวจากความสามารถด้านนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ โดยระบุว่าเป็น “มาตรการป้องกัน” การยั่วยุจากเกาหลีเหนือ หลังจากที่โสมแดงทดสอบขีปนาวุธหลายต่อหลายครั้ง
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เจมส์ แมททิส (James Norman Mattis) ยืนยันต่อรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ฮาน มินคู (Han Min-goo) ว่า สหรัฐฯ มีพันธกิจในการปกป้องประเทศนี้ และ “สนับสนุนการป้องปรามนิวเคลียร์ด้วยความสามารถทั้งหมดที่สหรัฐฯ มี”
การติดตั้งระบบ THAAD ก่อความขุ่นเคืองแก่จีน ซึ่งเกรงว่า THAAD จะทำให้แสนยานุภาพด้านขีปนาวุธของจีนอ่อนแอลง และทำลายสมดุลด้านความมั่นคงในภูมิภาค
ปักกิ่ง ชี้ว่าเรดาร์ของ THAAD มีความสามารถเจาะลึกเข้าไปในประเทศจีน และยังสามารถติดตามตรวจจับความเคลื่อนไหวของอากาศยานจีนต่างๆ ในขณะที่วอชิงตัน กล่าวว่า ระบบป้องกันฯ นี้มีไว้เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และบอกว่าสิ่งที่จีนกังวลนั้นไม่มีมูลความจริง
นาย หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศจีน ระบุว่า การติดตั้งระบบ THAAD นั้น เกินขอบเขตของความจำเป็นในการป้องกัน และ “ส่งผลกระทบโดยตรง” ต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงของจีน
“เพื่อนบ้านไม่ควรปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ และอาจบั่นทอนความปลอดภัยของเกาหลีใต้เองด้วยซ้ำ”
โสมขาวสะท้านเมื่อมังกรสำแดงเดช
ความบาดหมางครั้งนี้ได้บั่นทอนทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้าขาย และความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองชาติ
จีนไม่เคยยอมรับว่าใช้มาตรการแก้แค้นเกาหลีใต้ แต่บริษัทโสมขาวที่เปิดกิจการในแดนมังกรก็เผชิญทั้งบทลงโทษและกระแสต่อต้านจนสูญเสียรายได้มหาศาล โดยเฉพาะห้างค้าปลีกชั้นนำอย่าง “ล็อตเต้”
ล็อตเต้กรุ๊ป (Lotte Group) กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ซึ่งทำสัญญาแลกที่ดินกับรัฐบาลเกาหลีใต้ เพื่อให้รัฐบาลนำที่ดินผืนดังกล่าวไปใช้ติดตั้งระบบ THAAD แถลงว่า เว็บไซต์ของตนในประเทศจีนถูกแฮ็กเมื่อวันที่ 1 มี.ค. และอีกไม่กี่วันต่อมาห้างร้านของตนจำนวนมากในแดนมังกรก็ถูกบังคับให้ปิดร้านเพื่อให้พวกเจ้าหน้าที่เข้า “ตรวจสอบ” นับเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่อง ซึ่งบ่งบอกให้เห็นว่าปักกิ่งได้สำแดงฤทธิ์เดชอย่างไม่ธรรมดา
ล็อตเต้ มาร์ท มีสาขาในจีนรวมทั้งสิ้น 115 แห่ง และสร้างรายได้ให้แก่ ล็อตเต้ กรุ๊ป มากกว่า 3 ล้านล้านวอนในช่วงปี 2015 อย่างไรก็ดี เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ล็อตเต้ได้ยกธงขาวประกาศขาย “ล็อตเต้ มาร์ต” ทุกสาขาในจีน หลังจากที่ทำยอดขายได้เพียง 2.1 หมื่นล้านวอน ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวของของปี 2559 กว่า 10 เท่า แม้จะอัดฉีดเงินช่วยเหลือเข้าไปแล้วกว่า 7 แสนล้านวอน โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะหดหายไปกว่า 1 ล้านล้านวอน
ทางด้านเจ้าหน้าที่จากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ (Korea Tourism Organization) เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวจีนมีคำสั่ง ให้บริษัททัวร์ในกรุงปักกิ่งหยุดขายทัวร์ไปเกาหลีใต้ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.เป็นต้นไป ซึ่งต่อมาคำสั่งนี้ได้ถูกขยายให้ครอบคลุมบริษัททัวร์ในภูมิภาคอื่นๆ ของจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย
คำสั่งดังกล่าวทำให้เกาหลีใต้ต้องสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีนไปแล้วกว่า 6.5 พันล้านดอลล่าสหรัฐฯ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในเกาหลีใต้ลดลงกว่าร้อยละ 60 ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย. ที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า ระหว่างเดือน มิ.ย.-ก.ค. ที่ผ่านมา “เกาะเซจู” สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเกาหลีใต้ ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนเพียง 9,386 คน หรือคิดเป็น 1 ใน 8 เมื่อเทียบกับจำนวน 77,824 คน ของช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว
รายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่หายไปนี้ ทำให้ประมาณการตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ลดลงถึง 0.4 เหลือเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ยังไม่นับผลกระทบต่อวงการ “เค-ป๊อป” และซีรีย์เกาหลี ที่สูญเสียรายได้จากแฟนคลับชาวจีนจำนวนมหาศาลไปอีกด้วย
สิ่งนี้เองที่ทำให้หลายฝ่ายมองว่า ความกระตือรือร้นในการหันหน้าเข้าเจรจาของเกาหลีใต้ เป็นผลมาจาก “การทูตเชิงเศรษฐกิจ” ของจีน
อนาคตความสัมพันธ์โสมขาว-มังกร
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และจีนจะมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีมุน ซึ่งเคยคัดค้านการติดตั้งระบบ THAAD ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง อย่างไรก็ดี ความท้าทายบนความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติก็ยังไม่หมดสิ้นไป
ฝั่งหนึ่ง ปักกิ่งก็ยังคงยืนยันหนักแน่นที่จะคัดค้านระบบ THAAD
“นโยบายของจีนที่มีต่อระบบ THAAD ยังคงชัดเจน ต่อเนื่อง และไม่เปลี่ยนไป” หัว ชุนอิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุ
ในขณะที่ เกาหลีใต้ก็ไม่ได้รับปากว่าจะยกเลิกการติดตั้งระบบ THAAD ทั้งหมด เพียงแต่ส่งสัญญาณจะหันหน้าจับเข่าคุยกับจีนเท่านั้น
“ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะสื่อสารกันในประเด็นเกี่ยวกับระบบ THAAD ซึ่งจีนมีความกังวล” กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ระบุในแถลงการณ์
ทั้งจีนและเกาหลีใต้ต่างเห็นว่ามีความจำเป็นที่ทั้งสองชาติจะต้องหันหน้าเข้าหากัน และทำให้ความสัมพันธ์ที่มึนตึงกลับฟื้นคืนดีอีกครั้ง แต่ทั้งคู่ไม่ได้เกี่ยวก้อยคืนดีกันด้วยเหตุผลเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลและความมุ่งหวังที่แตกต่างกัน ซึ่งอนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองจะเป็นเช่นไร ก็ย่อมขึ้นกับความจริงใจและการยอมอ่อนเพื่อประสานประโยชน์ให้แก่กัน