เอเจนซี / MGROnline - นับเป็นข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับกรณี “ปานามา” ประกาศตัดสัมพันธ์กับ “ไต้หวัน” และหันไปจับมือกับ “ปักกิ่ง” แทน สื่อฮ่องกงอย่างเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) จึงออกบทวิเคราะห์น่าสนใจว่างานนี้รัฐบาลจีนได้ประโยชน์ทั้งด้านภูมิยุทธศาสตร์ (geostrategic) และด้านการค้าในเวลาเดียวกัน
การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสาธารณรัฐปานามาและสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันอังคาร (13 มิ.ย.) ทำให้ปักกิ่งได้พันธมิตรใหม่ที่จะช่วยเดินหน้าแผนการริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) และขยายอิทธิพลในภูมิภาคอเมริกากลางอันเป็นสวนหลังบ้านของสหรัฐฯ นอกจากนั้นยังตอกหมุดสกัดกั้นพื้นที่บนเวทีโลกของไต้หวันซึ่งปักกิ่งไม่มีความไว้วางใจในรัฐบาลไทเปชุดปัจจุบันด้วย
มิติทางการค้า
ในห้วงยามที่จีนเร่งผลักดันแผนหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง เพื่อขยับขยายเครือข่ายการค้าไปทั่วโลกและสร้างตลาดใหม่มารองรับสินค้าจีน ความสัมพันธ์ครั้งนี้จะช่วยให้กลุ่มบริษัทจีนสามารถเข้าไปลงทุนรอบคลองปานามาซึ่งเป็นทางน้ำที่เชื่อมสองมหาสมุทรอย่างแอตแลนติกและแปซิฟิก รวมถึงเส้นทางการค้าระหว่างประเทศสายสำคัญอื่นๆ
หากอ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนพบว่า มีบริษัทจีนมากกว่าสามสิบแห่งที่กำลังดำเนินธุรกิจอยู่ในปานามา อาทิ ธนาคารแห่งประเทศจีน, บริษัทเดินเรือสินค้า คอสโก (COSCO), หัวเว่ย, แซดทีอี (ZTE), บริษัทวิศวกรรมท่าเรือแห่งประเทศจีน (CHEC) และบริษัทการก่อสร้างทางรถไฟแห่งประเทศจีน (CRCC) เป็นต้น โดยปีก่อนบริษัท แลนด์บริดจ์ กรุ๊ป (Landbridge Group) สัญชาติจีน ได้ซื้อท่าเรือมาร์การิตา ไอร์แลนด์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในปานามา พร้อมประกาศปรับปรุงชุดใหญ่เพื่อความทันสมัยยิ่งขึ้น
นับจากนี้จึงคาดการณ์ว่าบรรดาบริษัทจีนจะหลั่งไหลเข้าไปลงทุนกันมากขึ้นจนอาจบดบังอิทธิพลของเจ้าถิ่นเก่าอย่างสหรัฐฯ ชนิดพลิกฝ่ามือก็เป็นได้
มิติทางการทูต
ปานามานับเป็นประเทศที่สองที่ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทเปหลังจากนางไช่ อิงเหวิน ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีไต้หวันในปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามของจีนที่ต้องการลดทอนพื้นที่บนเวทีโลกของไต้หวัน เนื่องจากถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งที่รอการกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันและจีนก็หมดความอดทนกับคำปฏิเสธของนางไช่ที่ไม่ยอมรับหลักการจีนเดียว (One-China principle) ซึ่งจัดเป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวัน
ดังนั้นการดึงเอาอีกหนึ่งพันธมิตรของไต้หวันมาอยู่ฝั่งแผ่นดินใหญ่จึงกลายเป็นเรื่องน่าตื่นตระหนกตกใจไม่น้อยแก่รัฐบาลไทเป เพราะแสดงถึงความเป็นไปได้ว่าพันธมิตรของไต้หวันที่หลงเหลือเพียง 20 ประเทศอาจกลับลำมาสานสัมพันธ์กับปักกิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศแถบอเมริกากลางและเขตทะเลแคริเบียน
ด้านนิตยสารฟอร์บส ยังได้รายงานบทวิเคราะห์ว่า นอกจากประเทศปานามาแล้ว ยังน่าจะมีประเทศอื่นๆ ที่ทยอยตัดสัมพันธ์กับไต้หวัน โดย ฌอน คิง รองประธานอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การให้คำปรึกษาทางการเมืองของ Park Strategies กล่าวว่า ประเทศที่มีการติดต่อค้าขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น ปานามาจัดว่าเป็นประเทศพันธมิตรระดับสูงของไต้หวัน
ฟอร์บส ระบุว่า มี 3 ประเทศที่คาดว่าจะเป็นลำดับต่อไปที่ตีตัวห่างความสัมพันธ์กับไต้หวัน คือ นิการากัว, ปารากวัย และเซนต์ลูเซีย
1. นิการากัว : รัฐบาลของประธานาธิบดีนิการากัว นายแดเนียล ออร์เตก้า ได้ให้การต้อนรับ ไช่ ผู้นำไต้หวัน อย่างอบอุ่นเมื่อเดือนมกราคมต้นปี ซึ่งเป็นเรื่องเกินคาด หลังจากที่เขาได้ตัดสัมพันธ์กับไต้หวันเพื่อจีนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528
Panampost สื่อท้องถิ่นนิการากัว ได้เคยรายงานในปี พ.ศ.2556 ว่า รัฐบาลนิการากัว ได้รื้อแผนคลองเดินเรือ ยาว 175 ไมล์ กับนักธุรกิจจีนรายหนึ่ง โดย แผน Nicaragua Interoceanic Canal มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐนี้ สามารถเชื่อมการคมนาคมระหว่างประเทศต่างๆ ในทวีปอเมริกากลาง แปซิฟิก และชายฝั่งทะเลแคริบเบียน แต่ถูกพับไป ดังนั้นหากจีนมีความสนใจที่จะรื้อแผนนี้ขึ้นมา โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมแผ่ขยายอุตสาหกรรมการค้าไปทั่วโลก ก็คงได้รับความสนใจจากออร์เตก้า อย่างยิ่ง
2. ประเทศปารากวัย เป็นประเทศเดียวในอเมริกาใต้ที่ยอมรับไต้หวัน และไม่เคยตัดความสัมพันธ์กันเลยนับแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี พ.ศ. 2500 แต่จีนก็ได้เริ่มประสานความสัมพันธ์กับปารากวัยในช่วง พ.ศ. 2523
สำหรับไต้หวันนี้ ได้ถือปารากวัยเป็นพันธมิตร ให้ความช่วยเหลือประชาชนปารากวัยผู้มีรายได้ต่ำ ราว 6.6 ล้านคน ด้วยการเสนอให้ทุน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงการเคหะ บ้านจัดสรร เมื่อปี พ.ศ.2552
Real Instituto Elcano กิจการที่ปรึกษาจากสเปน กล่าวถึงปารากวัยว่า เป็นเป้าหมายสำคัญของจีน เพราะมีความเป็นผู้นำของบรรดากลุ่มประเทศในอเมริกาใต้
3. เซนต์ลูเซีย ประเทศเกาะในแคริบเบียน มีประชากรราว 164,000 คน นี้ เคยเป็นพันธมิตรกับจีน แต่ก็ได้ผูกมิตรกับไต้หวันเช่นกัน
ในปี พ.ศ. 2555 รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เคนนี่ แอนโธนี ต้องการกระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับจีน แต่ยังผูกมิตรกับไต้หวัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์การค้าและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ