MGR Online / เอเจนซี - สืบเนื่องจากคลิปวิดีโอการต่อสู้แห่งศักดิ์ศรีระหว่าง “สู เสี่ยวตง” นักชกมวยแบบผสมผสาน หรือ เอ็มเอ็มเอ (Mixed Martial Arts) กับอาจารย์มวยไท่จี๋ ซึ่งถูกนายสูชกจนลงไปล้มนอนกับพื้นได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 10 วินาที จนเป็นที่โจษจัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายสู นักสู้เอ็มเอ็มเอ ยังได้ออกประกาศท้าทายนักมวยจีนทุกสำนักให้มาประลองกับเขา มารุมเขาพร้อมๆ กัน เพื่อที่เขาจะได้ประกาศให้โลกรู้ว่าแท้จริงแล้ว กังฟูจีนก็เป็นเพียงเรื่องลวงโลกเท่านั้นเอง
คำท้าประกาศศักดาของเขาก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์บนโลกออนไลน์มังกรอย่างกว้างขวาง และยังทำให้ “เฉิน เชิง” อภิมหาเศรษฐีจีนผู้ก่อตั้ง “เทียนตี้” บริษัทเครื่องดื่มอันดับ 1 ของจีนถึงกับควักเงินจำนวน 10 ล้านหยวน หรือราว 50 ล้านบาท เพื่อเป็นรางวัลให้แก่ยอดฝีมือกังฟูจีน ที่สามารถปราบความผยองของนายสู
มวยจีน และศิลปะป้องกันตัวทุกแขนง มีไว้เพื่อการใดกันแน่ เราฝึกมวยไปเพื่ออะไร และใครกันที่จะเข้าถึงแก่นแท้แห่งการต่อสู้ที่แท้จริง เหล่านี้คงเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องค้นหากันเอง เช่นเดียวกับที่ครั้งหนึ่ง อดีตยอดกังฟูผู้ได้ชื่อว่าเข้าถึงกังฟูและก่อกำเนิดศิลปะการต่อสู้ซึ่งต่อมาเป็นต้นแบบของมวยแบบผสมผสาน หรือ เอ็มเอ็มเอ ที่ สู เสี่ยวตง นำมาแสดงความผยอง
ย้อนไปในปี ค.ศ. 1969 ไม่มีใครคิดว่าคนเอเชียตัวเล็ก กระดูกเล็กๆ แถมมีเสียงแหลม จะกลายเป็นหนึ่งบุคคลทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20 ไม่มีใครรู้ นอกจากบรูซลี โดยปีนั้น เขาเขียนบันทึกถึงตนเองว่า
จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนของผม
ผม, บรูซ ลี จะเป็นนักแสดงชาวตะวันออกคนแรกที่มีรายได้สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา และในทางกลับกัน ผมจะแสดงให้เห็นคุณภาพของงานที่ผมทำในการเป็นนักแสดง เริ่มต้นในปี 1970 ผมจะมีชื่อเสียงระดับโลก และนับจากนั้นจนถึงปลายปี 1980 ผมจะทำรายได้รวม 10,000,000 เหรียญสหรัฐ ผมจะใช้ชีวิตในวิถีทางของผมและบรรลุถึงความสมานฉันท์
บรูซ ลี
มกราคม ค.ศ.1969
บรูซ ลี เสียชีวิตใน 4 ปีต่อมา
แต่ในระหว่าง 4 ปีนี้ บรูซ ลี ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขามุ่งหมาย และในวัย 32 ปี เขาได้เปลี่ยนแปลงแนวทางภาพยนตร์ โลกทัศน์ของผู้คน และศาสตร์ศิลปการต่อสู้ป้องกันตัวไปตลอดกาล
จดหมายของบรูซ ลี ถ่ายทอดความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า แต่ความเชื่อมั่นนี้ เขาได้มาจากที่ใด ซึ่งคงไม่มีใครทราบคำตอบทั้งหมด ทว่าข้อเขียนของบรูซ ลี ซึ่งรวมรวมจากหนังสือ เอกสารต่างๆ ของเขา ล้วนปรากฏร่องรอยที่มาที่ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จดหมายที่ บรูซ ลีเขียน ในวัย 21 ปี หรือย้อนไปกว่า 10 ปี ก่อนเสียชีวิต ซึ่งตอนนั้นเขายังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน
ลองมาอ่านจดหมายของบรูซ ลี หนุ่มอายุ 21 ปี กัน
เรียน คุณเพิร์ล
จดหมายฉบับนี้คงยากที่จะอ่านเข้าใจ มันเป็นเพียงความคิดฝันของผม โดยรวมๆ จะเรียกว่า ทางแห่งชีวิตผมก็ได้ ซึ่งมันค่อนข้างยากที่จะเขียนลำดับความคิดความรู้สึกเราออกมาให้คนอื่นเข้าใจ แต่ผมอยากจะเล่าให้คุณทราบ ผมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเขียนเล่าให้ชัดเจน และหวังว่าคุณจะเปิดใจเวลาอ่านมัน และอย่าเพิ่งด่วนสรุปก่อนจะอ่านมันทั้งหมด
มีสองปัจจัยในการสร้างชีวิตที่ดี หนึ่งคือจากการทำงานหนัก และอีกทางคือผลจากการคิดฝัน (ซึ่งแน่นอนต้องทำงานด้วย) เป็นความจริงที่ว่าความอุตสาหะ หรือความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่รางวัลแห่งความมั่งคั่งนั้น อยู่กับคนที่สามารถคิดถึงสิ่งซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ในทุกอุตสาหกรรม ในทุกอาชีพ สิ่งที่อเมริกากำลังมองหาคือความคิดสร้างสรรค์ อันนำพาอเมริกามาได้ถึงจุดที่เป็นอยู่นี้ และคนที่มีความคิดดี จะเป็นคนที่ใครก็ต้องการ
ส่วนหนึ่งของชีวิตผมคือ “กังฟู” ศิลปะนี้ มีอิทธิพลกับผมทั้งทางบุคลิกและความคิด ผมฝึกกังฟูเพื่อพัฒนาด้านกายภาพ และจิตใจ ทั้งต่อสู้ป้องกันตัว และทั้งเป็นวิถีชีวิต กังฟูคือศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุด ยูโด คาราเต้ ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในสหรัฐฯ ก็มีพื้นฐานกังฟู เป็นอย่างนี้ เพราะยังไม่เคยมีใครได้ยินเกี่ยวกับศิลปะป้องกันตัวอันเป็นที่สุด อีกทั้งยังไม่มีครูฝึกสอน
ผมเชื่อว่า ด้วยโมงปีแห่งการฝึกฝนกังฟูของตน จะเป็นสิ่งสนับสนุนผมในการขับเคลื่อนกระแสกังฟูนี้ ยังมีเวลาอีกหลายปีข้างหน้าสำหรับผมในการขัดเกลาเทคนิคและบุคลิกภาพ เป้าหมายของผมคือการจัดตั้งสถาบันกังฟูแห่งแรก ซึ่งจะขยายไปทั่วสหรัฐอเมริกา (ผมกำหนดไว้ราว 10 - 15 ปี เพื่อให้โครงการนี้สมบูรณ์) เหตุผลของผมในการทำเช่นนี้ ไม่ได้เป็นวัตถุประสงค์ทางการสร้างรายได้ แต่ผมต้องการให้โลกได้รู้จักความยิ่งใหญ่ของศิลปะการต่อสู้ของชาวจีนแขนงนี้ ผมสนุกกับการสอนและช่วยเหลือผู้คน ผมชอบที่จะริเริ่มบางสิ่ง และที่สุดซึ่งสำคัญที่สุดคือ กังฟูเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนผม
ผมรู้ว่าความคิดของผมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และผลลัพธ์ก็คงจะน่าพอใจ ผมไม่ค่อยกังวลกับรางวัลใดๆ แต่มุ่งเพียงตั้งเป้าหมายเพื่อไปถึง โดยผลของการทำงานจะเป็นตัวชี้วัดรางวัลและความสำเร็จของผมเอง
ก่อนที่ ดร.ชาร์ลส พี.สไตเมทซ์ อัจฉริยะด้านไฟฟ้า จะเสียชีวิต มีคนถามเขาว่า วิทยาศาสตร์สาขาใดที่ช่วยส่งผลให้เกิดการพัฒนาได้รวดเร็วที่สุดใน 25 ปี” ซึ่ง ดร.ชาร์ลส หยุดและคิดนานหลายนาที ก่อนตอบว่า มันคือศาสตร์แห่งจิตสำนึก เมื่อชายคนหนึ่ง สร้างความตระหนักรู้ในตนเอง สร้างกำลังจิต ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สูงยิ่งไม่ว่าจะใช้กับแขนงใด วิทยาศาสตร์ ธุรกิจ หรือชีวิต และหากใครบรรลุศาสตร์นี้ ความก้าวหน้าของเขาไม่มีใครเทียบได้
ผมรู้สึกว่า ผมมีพลังสร้างสรรค์ มีพลังจิตในตัวมากกว่าสิ่งใด ทั้งศรัทธา มุ่งมั่นปรารถนา หรือวิสัยทัศน์อื่นๆ สิ่งเหล่านี้รวมกันเป็นเหมือนแม่เหล็กที่มีแรงดึงดูดมหาศาล
เมื่อเราโยนก้อนกรวดลงในสระน้ำ จะเกิดคลื่นกระจายไปรอบ ขยายออกไปจนทั่วสระน้ำ นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับความคิดของผม แผนการและการกระทำของผม ซึ่งตอนนี้ ผมวางอนาคตแล้ว และเห็นมันชัดเจน ผมฝัน (จำไว้นักฝันที่เป็นจริงในทางปฏิบัติ ไม่มีวันล้มเลิก) ตอนนี้ผมยังไม่มีอะไร แต่ว่าความฝันของผมกำลังขึ้นรูปด้วยการกระทำ เป็นภาพเต็มบนผืนผ้าใบ ผมเห็นอาคารสถาบันกังฟูขยายทั่วอเมริกา ผมไม่ใช่พวกท้อแท้ง่าย ผมเป็นพวกพุ่งชนอุปสรรค
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เป้าหมายอันเป็นที่สุดของผมคือการค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต นั่นคือสันติสุขของจิตใจ ผมรู้ว่า บางสิ่งที่ผมใฝ่หาครอบครองนี้ ไม่จำเป็นกับสันติสุขแห่งจิตใจ เพื่อบรรลุสภาวะจิตเช่นนั้น ผมไม่อาจแยกห่างจากคำสอนของลัทธิเต๋าและเซนอันมีค่า
อาจมีบางคนบอกว่า ผมหมกมุ่น ครุ่นเครียดกับความสำเร็จมากไป เปล่าเลย ความมุ่งมั่นผมมาจากความคิดที่ว่า “ผม ทำ ได้” มันเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่มีความกลัว หรือความลังเลสงสัยอะไรในใจผมเลย
เพิร์ล ความสำเร็จเป็นของคนที่มีใจสำเร็จก่อน ถ้าคุณไม่ตั้งเป้าหมาย แล้วจะมีอะไรช่วยให้คุณได้รับมัน
ขอแสดงความนับถือ
บรูซ ลี